คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคำคัพท์ยอดฮิตในช่วง COVID-19 Crisis คือคำว่า ‘New Normal’ หรือแปลเป็นไทยว่า ‘ความปกติใหม่’ ซึ่งรวมทั้งความคิดและ การใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน การทำธุรกิจ การใช้เทคโนโลยี การสื่อสาร การช้อปปิ้ง การท่องเที่ยวและสันทนาการต่างๆ จนถึง วิธีการทำงานจากที่บ้าน – Work from Home (WFH) ซึ่งเป็นหนึ่งใน ‘New Normal’ ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน
จากการสัมภาษณ์คนทำงานจำนวน 400 ตัวอย่างทาง Asia Mobile Panel ของกลุ่มบริษัทอินเทจ พบว่าคนทำงานรู้สึกปลอดภัยจากเชื้อไวรัส ทำงานมีประสิทธิภาพดีขึ้น มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น จากการ WFH แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดความรู้สึกในเชิงลบ จากการขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ขาดชีวิตชีวาในการทำงาน รู้สึกเครียดและโดดเดี่ยว
โดยทั้ง Gen Y และ Gen X เห็นด้วยว่า การทำงานที่บ้านลด Waste Time ในการเดินทาง การประชุม การพบปะที่ไม่จำเป็น ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น
ส่วนความคิดเห็นที่แตกต่างระหว่าง 2 Gen ชัดเจน คือเรื่องเวลาคุณภาพกับครอบครัว และการประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งคำตอบเป็นผลมาจาก Values of Life Stage ที่แตกต่างกัน นั่นคือ ในขณะที่ คน Gen X ส่วนใหญ่ แต่งงานมีครอบครัวแล้ว และมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น จากการมีครอบครัวที่ต้องดูแล คน Gen Y ส่วนใหญ่ ยังไม่ได้แต่งงาน
Every Coin Has 2 Sides
ในขณะที่มีข้อดีมากมาย แต่คนทำงานกลับมีความเครียดเพิ่มขึ้นจากการ WFH โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขาดปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ซึ่งไม่สามารถชดเชยด้วยการคุยกันผ่านมือถือ หรือการประชุมผ่าน Virtual Meeting
การได้พูดคุยแบบ Chit Chat กับเพื่อนร่วมงาน แม้จะไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน แต่ก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้การทำงานแต่ละวันของคนทำงานมีชีวิตชีวามากขึ้น การได้พบปะผู้คนเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ด้วย ซึ่งทั้ง 2 Gen มีความคิดเห็นสอดคล้องกันในเรื่องนี้
นอกจากนี้ความไม่พร้อมในระบบ และเทคโนโลยี ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้คนรู้สึกเครียดกับการ WFH
จุดแตกต่างที่น่าสนใจระหว่างคนทำงาน 2 Gen คือ เรื่องของ การมีห้อง, มุม หรือโต๊ะทำงานที่เป็นสัดส่วนที่บ้าน ซึ่งจะเป็นข้อกังวลใจสำหรับ Gen Y ที่ไม่ใช่แค่เพื่อการทำงานเท่านั้น แต่ต้องพร้อม ‘ออกสื่อ’ ได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่มีการประชุมผ่าน Virtual Platform เช่น Zoom หรือ Microsoft Teamsที่ต้องเปิดให้เห็นหน้า เห็นสถานที่กัน
New Normal Practice but Same Human Needs
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด เทคโนโลยีจะพัฒนาไปมากขึ้นเพียงใด หรือไม่ว่าจะอยู่ใน Generation ใด ความต้องการ ของคนยังประกอบไปด้วย 3 ด้านหลักๆ คือ 1. Functional Needs 2. Emotional Needs และ 3. Social Needs
Functional Needs: นับว่าเป็นพื้นฐานหลักที่ต้อง Fulfill ก่อน Needs ใดๆ เสมือนเป็นปัจจัย 4 พื้นฐาน ที่ทุกคนต้องมี ในกรณีของ WFH ก็หมายถึงระบบและกระบวนการที่เอื้อต่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ถ้าเป็นการตลาดก็หมายถึง Prerequisite Benefits ของสินค้าและบริการ
Emotional Needs: เป็นส่วนสำคัญที่สมองของคนจะจดจำ ดังนั้นไม่ว่าจะทำการตลาดใดๆ ถ้าเน้นแต่ จะขายแค่ Product Functional Benefits ก็จะไม่สามารถดึงดูดความสนใจ ของผู้บริโภคได้ โดยปราศจากประโยชน์ทางอารมณ์
Social Needs: เนื่องด้วยคนเป็นสัตว์สังคม การได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การได้รับการยอมรับ การชื่นชมจากผู้อื่น เป็นสิ่งสำคัญที่เติมเต็มความรู้สึก เรื่องความสำเร็จในชีวิต
การศึกษาในครั้งนี้ ตอกย้ำให้เห็นความสำคัญของ Social Needs เป็นอย่างดี เพราะไม่ว่าการ WFH จะมีข้อดีมากมายในแง่ Functional Needs แต่คนทำงานก็ยังโหยหาการได้กลับไปทำงานที่ออฟฟิศเพื่อที่จะได้มี Physical Relationship กับผู้อื่น ในทางการตลาดเราก็จะเห็นได้ชัดจากการเติบโตของการใช้ Influencer Marketing ที่นำ Social Needs ของผู้บริโภคที่ต้องการ Being Right + Being Liked มาเป็นแกน ในการโปรโมทสินค้าและบริการ
Source of Image: