One of three columns
One of three columns
One of three columns

ฉลาดใช้ Micro Moment กับคอนเทนท์มาร์เก็ตติ้ง

696
SHARE

KEY FOCUS

  • Micro Moment หมายถึงทุกเสี้ยวนาทีเล็กๆ ในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภค แต่เป็นช่วงนาทีสำคัญที่แบรนด์สามารถจะนำเสนอคุณค่าบางอย่าง ‘ที่เฉพาะเจาะจง’ กับช่วงเวลานั้นๆ ให้แก่ลูกค้าได้
  • การทำความเข้าใจและสามารถใช้ Micro Moment ให้เกิดประโยชน์กับแบรนด์สูงสุด นักการตลาดต้องอาศัยการวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าในบริบทที่ถูกต้องและตอบสนองอย่างฉับไวทันท่วงที
  • มนุษย์ทุกคนชอบฟังเรื่องเล่าอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ฉะนั้นแบรนด์คอนเทนท์ที่สร้างประสบการณ์ ความประทับใจ หรือความรู้สึกร่วมกับผู้ฟังได้ดี ย่อมจะทำให้เขาจดจำแบรนด์เราได้เป็นอันดับแรกๆ เสมอ

การพาแบรนด์เข้าไปอยู่ใน Micro Moment ของลูกค้าคืออะไร? ถ้าจะตอบให้ง่ายที่สุดก็คือการที่เราเอาแบรนด์ของเราเข้าไปเกี่ยวข้องและปรากฏอยู่ในเสี้ยวนาทีเล็กๆ  ของทุกกิจกรรมในชีวิตของลูกค้า ซึ่งแบรนด์ต่างๆ สามารถค้นหา Micro Moment นี้ได้จากการสังเกต พูดคุย ติดตาม ไปจนถึงการวิเคราะห์พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของกลุ่มลูกค้าต่างๆ ว่ามีความเกี่ยวโยงกับแบรนด์ของเราอย่างไรบ้าง ในช่วงเวลาไหน และคอนเทนท์ของแบรนด์จะเข้าไปมีบทบาทช่วยเหลือเขาได้อย่างไร ฯลฯ ยกตัวอย่างเช่น ในเวลาที่ลูกค้าต้องการทานข้าว Micro Moment ก็คือการคิดว่าจะกินข้าวที่ไหน กินอะไรดี และกินกับใครบ้าง เป็นต้น

“Micro Moment = Intent + Context + Immediacy”

ไอเดียคือถ้า Micro Moment เป็นช่วงก่อนการตัดสินใจซื้อสินค้า บทบาทของคอนเทนท์คือต้องทำให้ลูกค้าสนใจเรา ถ้าเป็นช่วงที่เกิดการซื้อไปแล้ว เราจะทำยังไงต่อให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ หรือบอกต่อถึงข้อดีของแบรนด์เรา โดยโมเมนท์สำคัญๆ ที่แบรนด์ควรเข้าไปมีบทบาทให้ได้สามารถแบ่งเป็น 4 โมเมนท์หลักๆ คือ

  • I want to know moment (ลูกค้าอยากรู้ข้อมูลอะไร ณ ตอนนั้น)
  • I want to do moment (ลูกค้าต้องการอยากทำกิจกรรมอะไร มีคำแนะนำให้)
  • I want to buy moment (ลูกค้ากำลังอยากซื้อสินค้าหรือบริการใด ชี้ชวนให้ตัดสินใจ)
  • I want to go moment (ลูกค้าอยากเดินทางไปไหน ช่วยหาโซลูชั่น โปรโมชั่น รูปแบบการเดินทาง ฯลฯ)

โดยแบรนด์จะต้องวิเคราะห์ให้ออกว่าสามารถจะแทรกตัวเข้าไปนำเสนอคอนเทนท์ต่างๆ ในช่วงโมเมนท์เหล่านี้อย่างไร เช่น ถ้าเป็นโรงแรมหรือบริษัททัวร์ ก็ควรสื่อสาร ‘ทางเลือก’ หรือ ‘ความน่าสนใจ’ ด้านการท่องเที่ยวให้ลูกค้าได้ทันทีที่ลูกค้าต้องการ เป็นต้น (หากทำได้สำเร็จและต่อเนื่อง ก็จะทำให้ลูกค้าจดจำและนึกถึงแบรนด์เราเป็นอันดับแรกๆ อยู่เสมอ)

 

LET ME TELL YOU A STORY  เพราะมนุษย์ทุกคนชอบฟังเรื่องเล่า

ในทุกๆ การสื่อสารคอนเทนท์เกี่ยวกับแบรนด์ เราจำเป็นต้อง ‘เล่าให้เป็นเรื่อง’ โดยการเล่าเรื่องที่ดีนั้นมีอยู่ 2 วิธี ได้แก่

1) Expository Approach: เหมาะสำหรับการเล่าเรื่องแบบทางการ หรือ มีความเป็นวิชาการ ต้องสร้างความน่าเชื่อถือ ฉะนั้นบุคลิกการสื่อสารด้วยจึงต้องดูมีหลักการ และเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมา มีแหล่งที่มาชัดเจน อ้างถึงเข้าใจง่าย

2) Narrative Approach: คือการบรรยายเล่าเรื่องราวเพื่อโน้มน้าวจิตใจ เชื่อมโยงความคิดความเชื่อของผู้คนผ่านหลักจิตวิทยา (Emotional) โดยอาจเปิดช่องให้ผู้รับสารได้คิดต่อ หรือตีความกันเองบ้าง จนบางครั้งก็เกิดเป็นการปฏิสัมพันธ์ร่วม หรือ การสร้างการสนทนาร่วมในวงกว้างภายในสังคม เช่น “ใครฆ่าประเสริฐ” เป็นต้น

นอกจากนี้ในการเล่าเรื่องใดๆ ก็ตาม ฝ่ายผู้เล่าจำเป็นต้องทำความเข้าใจถึง Insight ของผู้ฟัง (กลุ่มเป้าหมาย) ให้ดีเสียก่อน เพื่อที่จะสามารถนำเสนอสารหรือ ‘คอนเทนท์’ ที่สร้างประสบการณ์หรือความรู้สึกร่วมกับผู้ฟังได้อย่างสูง ยิ่งถ้าผู้ฟังของเราสามารถนำเรื่องราวไปเล่าต่อๆ กันได้ ก็ยิ่งถือเป็นการเล่าเรื่องที่มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ

เทคนิกการสร้างเรื่องเล่าให้น่าติดตาม (What makes a good Storytelling)
  • มีตัวละครที่จะสามารถจะสนับสนุนเรื่องราวนั้นให้ดูน่าเชื่อถือ
  • ในเรื่องราวนั้นต้องมีข้อขัดแย้งหรือ Pain Point แทรกอยู่ ภายใต้บริบทที่ลูกค้าสามารถเข้าใจ เห็นใจ และติดตามต่อได้
  • มีจุดจบที่ดี ทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ก้าวไปในทางดี ในเชิงบวก และน่าจดจำสำหรับผู้บริโภค ยกตัวอย่างโฆษณาของ Apple ที่สื่อสารการต่อสู้ของแบรนด์บนแนวคิด Think Different ทำให้ลูกค้ารับรู้ถึงทัศนคติของแบรนด์ที่เชื่อมโยงกับทัศนคติของตนได้ เป็นต้น

 

อ้างอิงข้อมูล
จากการบรรยายในหัวข้อ Design Compelling Content Strategy (ภายใต้หลักสูตร Digital Marketing in Action) โดย เมธี จารุมณีโรจน์ Co-founder และ Managing Partner แห่งบริษัท BrandAholics นักการตลาดมือทองที่มีประสบการณ์หลากหลายและยาวนานกว่า 20 ปีในธุรกิจ FMCG ระดับสากล

ภาพประกอบ
pexels.com


ผู้เขียน
วิสาข์ สอตระกูล

อดีตนักโฆษณาที่ผันตัวมาเป็นนักเล่าเรื่อง นักเขียน และบรรณาธิการบทความด้านธุรกิจสร้างสรรค์ งานออกแบบ และวัฒนธรรมเมือง อย่างมีความสุข

Designing Compelling Content Strategy สร้างคอนเทนท์อย่างไรให้ทั้งโลกฟังเรา

696
SHARE

KEY FOCUS

  • ในโลกการตลาดทุกวันนี้ คอนเทนท์ไม่ใช่แค่ asset แต่คือ strategic approach ที่มีบทบาทส่งให้แบรนด์ก้าวขึ้นสู่ความเป็น Market Leader / Top of Mind ในใจลูกค้า
  • Attention is the new Reach เพราะโลกของมีเดียไม่มีคำว่า prime time อีกต่อไปแล้ว ความสนใจจดจ่อต่อเรื่องราว (Attention) จึงกลายมาเป็นหัวใจของการสร้างสรรค์คอนเทนท์ยุคใหม่ ที่ทำให้ลูกค้าผูกติดอยู่กับแบรนด์ของเราไปเรื่อยๆ
  • Content Strategy = Where to Play Choices นักการตลาดต้องเลือกก่อนว่าจะเล่นเกมนี้อย่างไร เพื่อนำไปสู่การเลือก tactic และ key trigger ต่างๆ ที่จะทำให้เราชนะเกมได้
  • สามเป้าหมายของการผลิตคอนเทนท์ยุคปัจจุบันคือ Velocity – ความรวดเร็ว, Resonance – ความดังกังวาน และ Productivity – ผลสัมฤทธิ์ความคุ้มค่า
  • 70 / 20 / 10 คือกลยุทธ์การแบ่งเงินลงทุนกับคอนเทนท์ที่แบรนด์ใหญ่ๆ นิยมใช้ คือ 70% ใช้กับสิ่งที่ทำเป็นประจำ หรือ เป็นอยู่ 20% กับสิ่งที่แบรนด์เราไม่เคยทำและอยากทดลอง และ 10% กับสิ่งที่ไม่เคยมีใครเคยทำมาก่อน
  • ทุกแบรนด์ควรรู้จักการวาง คอนเทนท์โดย การใช้ ทฤษฎี 3 Hs เข้ามาวางแผนและบริหารจัดการประเภทคอนเทนท์ของแบรนด์ให้เหมาะสม

ในวันที่ใครๆ ก็พูดถึง Content Marketing เพื่อการสร้างแบรนด์ เมธี จารุมณีโรจน์ กูรูด้านการสื่อสารและบริหารแบรนด์จากบริษัท BrandAholic กำลังถามคำถามที่สำคัญที่สุดกับคุณว่า

“Content Marketing คืออะไร และคุณรู้จักมันดีแค่ไหนที่จะสร้างประโยชน์จากมันได้”

แน่นอนว่าคำถามธรรมดาๆ นี้ไม่ได้มีคำตอบหนึ่งเดียวที่ถูกต้องที่สุด แต่สิ่งที่เมธีบอกเล่าจากประสบการณ์กว่าสองทศวรรษของเขาในโลกการตลาดก็คือทฤษฎีการสื่อสารนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง หน้าที่หลักของเรายังคงเป็นการส่งสารไปสู่ผู้บริโภคเหมือนเดิม “แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิงคือบทบาทของคอนเทนท์ ซึ่งทุกวันนี้ไม่ได้เป็นเพียง asset หรือเนื้อความของการสื่อสารเช่นในอดีต หากแต่ได้ยกระดับตัวเองขึ้นเป็น Strategic Marketing Approach หรือกระบวนยุทธ์ในการทำการตลาดที่ต้องได้รับการวิเคราะห์ วางแผน และทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งกันตั้งแต่ต้นธาร เพื่อให้ทีมการตลาดของคุณสามารถนำมันไปใช้ได้อย่างถูกที่ถูกทาง สร้างผลสัมฤทธิ์ และผูกใจลูกค้าไว้กับแบรนด์ได้อย่างยั่งยืนที่สุด

ทำไมต้องมี Content Strategy ที่ดีแต่แรก (คอนเทนท์สร้างคุณค่าอย่างไรกับธุรกิจ)

“เพราะ Market Share ไม่ใช่ผลสัมฤทธิ์ของการตลาดที่แท้จริง” รากฐานของความสำเร็จที่ยั่งยืนนั้นคือการที่แบรนด์ๆ หนึ่งสามารถก้าวขึ้นเป็น Market Leader ในใจผู้บริโภค “ซึ่งนั่นหมายความว่าเมื่อลูกค้านึกถึงสินค้าหรือบริการใดๆ ขึ้นมา เขาจะต้องเลือกแบรนด์เราเป็นหนึ่งในสามชื่อแรกเสมอ” สถานะการเป็น Market Leader นี้เท่านั้นที่จะนำแบรนด์หนึ่งๆ ไปสู่การสร้างผลกำไรที่แท้จริงในระยะยาวได้ (Optimal Profitability Level) และจะทำให้ธุรกิจเติบโตแบบยั่งยืนได้ในท้ายที่สุด

“อย่าเข้าใจผิดว่า Market Share คือตัวชี้วัดผลสำเร็จ มันเป็นเพียงตัวบ่งชี้ที่อาจเกิดจากการทำโปรโมชั่นระยะสั้นๆ ของเรา แต่ไม่ใช่ผลสัมฤทธิ์ของธุรกิจในระยะยาว นักการตลาดชั่วโมงบินสูงๆ จะรู้ว่าตัวเลข Market Share เป็นสิ่งที่ฉาบฉวยและได้มาง่ายมากๆ แต่ผลกำไรนี่ซิ คือ สิ่งที่ท้าทายกว่าเสมอ”

Attention is the new Reach

ในปัจจุบันวิถีของพฤติกรรมการบริโภค แพลทฟอร์มการเปิดรับข้อมูล และความต้องการคอนเทนท์ต่างๆ ของผู้คนได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ยกตัวอย่างเช่นการที่ผู้บริโภคต้องการเสพความบันเทิงมากขึ้น บ่อยขึ้น ทุกที่ทุกเวลา พฤติกรรมความเปลี่ยนแปลงนี้ก็ทำให้แพลทฟอร์มอย่าง YouTube ได้รับความนิยมขึ้นมา เพราะผู้คนไม่จำเป็นต้องรอเสพคอนเทนท์จากรายการโทรทัศน์ตามเวลาที่เจ้าของช่องออกอากาศแล้ว ดังนั้นเมื่อพฤติกรรมการเข้าถึง (Reach) เปลี่ยน ความสร้างความจดจ่อต่อคอนเทนท์ (Attention) ก็ต้องเปลี่ยนตาม

“โลกของมีเดียไม่มีคำว่า prime time อีกต่อไป”

ด้วยเหตุนี้ การทำ Content Marketing ที่ดีและมีประสิทธิภาพจึงกลายมาเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญกว่าในการพาแบรนด์ไปสู่ความเป็น Top of Mind โดยในปัจจุบันคอนเทนท์ที่เราจะส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายนั้นจำเป็นจะต้องมีองค์ประกอบพื้นฐานหลักๆ 3 ข้อ อันได้แก่

1) Valuable  คือเป็นคอนเทนท์ที่มีคุณค่ากับกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง สามารถทำให้เขามีใจจดจ่ออยู่กับมันได้เป็นเวลานาน

2) Relevant  มีความสอดคล้องกับทั้งตัวตนของแบรนด์และธรรมชาติการใช้ชีวิตของผู้บริโภคอย่างสูง เนื้อหาที่ส่งออกไปจะ hard sale หรือ soft sale ต้องขึ้นอยู่กับบริบทและความต้องการของผู้บริโภคในขณะนั้นอย่างแท้จริง

3) Consistant  คือต้องสร้างสรรค์คอนเทนท์ที่มีความต่อเนื่องทั้งในแง่ของจุดยืน (บุคลิกและตัวตนของแบรนด์) และการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้อย่างสม่ำเสมอ

 “คอนเทนท์ที่ใช่คือหัวใจที่จะนำพาลูกค้าให้นึกถึงและจดจำแบรนด์ของเราได้ตลอดเวลา”
คอนเทนท์ปังๆ สร้างกันอย่างไร

“เมื่อ Content Strategy = Where to Play Choices คำถามที่คุณต้องถามตัวเองคือแล้วคุณจะเล่นเกมนี้อย่างไร? ซึ่งจะนำไปสู่การเลือก tactic ที่ทำให้คุณเป็นผู้ชนะในเกมได้”  หลักคิดง่ายๆ เบื้องต้นคือในทุกการสื่อสาร ผู้ส่งสารจำเป็นต้องเข้าใจถึง ‘Key Trigger’ หรือ สิ่งเร้า’ ในใจของผู้รับสารให้ได้ก่อน

ซึ่ง key trigger ของผู้คนในปัจจุบันนี้ก็มีความแตกต่างหลากหลายมาก เมื่อก่อนเราอาจจะสื่อสารกับลูกค้าวัย 8 – 15 ปีได้ด้วย key trigger เดียว แต่ปัจจุบันนี้ไม่ไช่แล้ว  “การโฆษณาไม่ได้ทำหน้าที่ชวนเชื่อเป็นครั้งเป็นคราว แต่ต้องมีบทบาทในการสร้างความจดจ่อ ที่ทำให้ลูกค้าผูกติดอยู่กับแบรนด์ของเราไปเรื่อยๆ”

นอกจากนั้นการเลือกช่องทางสื่อสารคอนเทนท์ก็ต้องเน้นไปที่ ‘มือถือ’ ให้มากขึ้นตามพฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงต้องมีความสั้นกระชับ ได้ใจความตั้งแต่ต้นทาง เพราะ Human Attention Span หรือการจดจ่อต่อเรื่องราวใดๆ ของมนุษย์เราสั้นลงกว่าในอดีตมาก (สถิติ ณ ปี 2560 อยู่ที่ 8 วินาทีเท่านั้น)

ข้อคิดจาก YouTube ในการเข้าสู่ People’s Attention

1) Viewability หมายถึงคอนเทนท์นั้นต้องดึงดูดใจ น่าสนใจ ทั้งภาพ ทั้งคำ ทั้งความสอดคล้องกับบริบทการใช้ชีวิตต้องชวนติดตามอย่างที่สุด

2) Audibility หมายถึงการออกแบบวิธีใช้เสียงในแต่ละประเภทสื่อ ยกตัวอย่างเช่นพฤติกรรมคนเมืองดูคลิปในมือถือแบบไม่เปิดเสียง (เนื่องจากใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในที่สาธารณะ) ดังนั้นการทำให้คอนเทนท์เรื่องราวในมือถือจึงต้องมี Subtitle ประกอบไว้ด้วยเสมอ

3) Watch Time ด้วยเหตุที่ Human Attention Span สั้นลงเหลือเพียง 8 วินาที ทำให้นักการตลาดต้องสร้างคอนเทนท์ที่ดึงดูดใจให้เร็วที่สุด โดยโครงสร้างการเล่าเรื่องอาจจะไม่เหมือนในอดีต บทสรุปที่กระแทกใจอาจถูกนำขึ้นมาพูดตั้งแต่ต้นเรื่อง เพื่อทำให้ผู้บริโภคจดจ่ออยู่กับคอนเทนท์ของเราต่อไปได้

ได้เวลาปั้น Content Strategy ของคุณแล้ว

หากเราเปรียบการทำการตลาดเป็นเสมือนการเล่นเกมส์ สิ่งที่เราต้องโฟกัสตลอดเวลาก็คือ Current Situation และ Objective นั่นหมายถึงว่าเราต้องรู้ว่าเราเองมีความต้องการอยากจะทำอะไร เพื่อเป้าหมายอะไรบ้างในสถานการณ์หนึ่งๆ และมองหาเทคนิกหรือเครื่องมือที่จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายเหล่านั้นให้ได้

 

​องค์ประกอบ 3 ข้อของกลยุทธ์การผลิตคอนเทนท์

1) Velocity หมายถึงความรวดเร็วฉับไว คือ speed ในการสร้างสรรค์คอนเทนท์และส่งต่อไปยังผู้บริโภค

2) Resonance หมายถึงความดังกังวานของคอนเทนท์ที่เราส่งออกไป ว่าเราทำให้มันเข้าถึงผู้คนได้ในวงกว้างแค่ไหน

3) Productivity คือประสิทธิภาพในการทำงาน หรือผลสัมฤทธิ์ความคุ้มค่า ของการทำคอนเทนท์นั้นๆ ออกไปสู่ตลาด

ในหัวข้อนี้เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์คือหัวใจสำคัญที่จะกำหนดว่าเราต้องใช้ปัจจัยหรือทรัพยกรใดบ้างในการผลิตคอนเทนท์หนึ่งๆ ออกมา และต้องมีการวางแผนการใช้ทรัพยากรที่มีนั้นให้คุ้มค่าที่สุด ยกตัวอย่างเช่น

ถ้าเป้าหมายหลักคือ Resonance คือเราต้องการให้คอนเทนท์นี้มีพลังก้องกังวานเข้าถึงใจคนจำนวนมากที่สุด ทรัพยากรสำคัญที่เราต้องเทน้ำหนักให้ก็คือ Creativity (ความคิดสร้างสรรค์) บวกกับ Stock&Flow (การกระจายข้อมูลในช่องทางต่างๆ) ที่ต้องมีมากพอและต่อเนื่อง เหมาะสมกับกระแสการบริโภคของกลุ่มลูกค้าในขณะนั้น

แต่ถ้าเรามองว่าเป้าหมายของการทำคอนเทนท์นี้คือ Productivity นั่นคือต้องการสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่คุ้มค่าที่สุด เช่นสร้าง call to action ต้องส่งผลต่อตัวเลขกำไรหรือตัวชี้วัดบางอย่างได้อย่างชัดเจน ในกรณีนี้ปัจจัยที่เราต้องให้ความสำคัญหนักๆ ก็คือ Investment (การอัดฉีดเม็ดเงินและบริหารการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ) ควบคู่ไปกับ Stock&Flow ของคอนเทนท์ (การวางแผนการกระจายข้อมูล) ที่ต้องทะลุทะลวงทั่วถึง และต่อเนื่องที่สุด

ในมุมสุดท้าย สมมติว่าโจทย์ของเราคือ Velocity หรือความรวดเร็วในการผลิตคอนเทนท์หนึ่งๆ ออกไปสู่ตลาด (อาจจะเพื่อจับกระแสสังคมบางอย่างที่เชื่อมโยงกับแบรนด์ของเราพอดี) ในกรณีนี้เราก็ต้องเน้นทรัพยากรด้าน Creativity (ความคิดสร้างสรรค์) และ Investment (การอัดฉีดเม็ดเงิน) เป็นสองหัวใจหลัก เพราะถ้ามัวแต่งกๆ เงิ่นๆ เรื่องไอเดีย หรือวกไปวนมาไม่เด็ดขาด เราก็จะพลาดโอกาสการ ‘โหนกระแส’ สังคมที่พัดมาเพียงวูบเดียวไป (ยกตัวอย่างเช่น กระแสความสนใจเรื่องค่าฝุ่นละออง PM 2.5 เป็นต้น)

70 / 20 / 10 ตัวเลขการใช้เงินกับคอนเทนท์อย่างฉลาด

ทฤษฎีหนึ่งที่เมธีมองว่าจะสร้างผลสัมฤทธิ์ให้กับแบรนด์ได้จริงในยุคนี้ ก็คือการแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนในคอนเทนท์เป็น 70 / 20 / 10 ซึ่งหมายถึง

70% แรก ให้นำไปใช้กับคอนเทนท์ที่แบรนด์ทำอยู่แล้วเป็นประจำ เช่น เคยลงโฆษณาในช่วงเทศกาลวันแม่แล้วเวิร์ค ก็ให้ทำต่อไป

20% ต่อมา ให้นำไปทดลองใช้กับการสร้างคอนเทนท์ลักษณะใหม่ๆ หรือลงบนแพลทฟอร์มใหม่ๆ ที่แบรนด์เราไม่เคยทำมาก่อน โดยการใช้เงินในส่วนนี้จะอยู่บนพื้นฐานความคิดแบบ Fail Fast, Learn Fast นั่นคือทำให้แบรนด์ได้เรียนรู้ตลอดเวลา จะเวิร์คหรือจะเฟลก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยคือทำให้แบรนด์ได้เรียนรู้ไดนามิกใหม่ๆ และได้เปรียบเทียบตัวเองกับคู่แข่ง ไม่หยุดอยู่กับที่

10% สุดท้าย เป็นงบที่แนะนำให้แต่ละแบรนด์นำไปใช้สร้าง ‘ความแปลกใหม่’ และ ‘นวัตกรรม’ คือให้ลองทำคอนเทนท์ในลักษณะที่ยังไม่เคยมีแบรนด์ไหนทำมาก่อนเลยขึ้นมาบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าต้องอาศัยบุคลากรที่มีความสร้างสรรค์สูงๆ เข้ามาช่วย แต่งบ 10% นี้ถือเป็นโอกาสทองขององค์กรที่สามารถยอมรับกฏ High Risk, High Return เพื่อสร้างวิวัฒนาการใหม่ๆ ให้กับธุรกิจของตน

ในยุคที่ Influencer มาแรง เราจะทำงานกับพวกเขาอย่างไร

เมธีแนะว่านักการตลาดต้องรู้จักบริหารการร่วมงานกับ Influencer โดยสับเปลี่ยนพระเอกนางเอกไปเรื่อยๆ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ไปยึดโยงอยู่กับ Influencer คนใดคนหนึ่งอย่างถาวร ที่สำคัญการเลือกใช้ Influencer ให้หลากหลายยังถือเป็นกลยุทธ์การเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ เพราะโดยหลักจิตวิทยาการบริโภคสมัยใหม่แล้ว ลูกค้าของเราฉลาดพอที่จะไม่ฟังแค่คำแนะนำของใครเพียงคนเดียวหรือของคนดังไม่กี่คน (ที่เขาก็เดาได้แล้วว่าเป็นหนึ่งในวิธีการโฆษณาสินค้า) แต่ถึงกระนั้นผู้บริโภคก็ยังรับฟังคำแนะนำของ Influencer อยู่ดี แต่จะฟังจากคนหลากหลายแบบ หลายหลายระดับ และนำมาวิเคราะห์เองว่า ‘คนแบบไหน’ ที่มีความน่าเชื่อถือสูงสุด ‘ในเรื่องราวแบบใด’  ซึ่งปัจจุบันนักการตลาดสามารถแบ่งประเภทของ Influencer ออกได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆ คือ

1) Mega Influencer  หมายถึงคนดังในสังคม เซเลบริตี้ ดารานักร้อง เป็นกลุ่มที่สามารถสร้าง Reach ให้เกิดขึ้นกับแบรนด์ได้สูงสุด เพราะมีคนฟอลโลว์เป็นหลักล้าน – สิบล้าน (แต่ไม่สามารถการันตี Call to Action ได้เสมอไป) ฉะนั้นคอนเทนท์ที่ควรทำกับกลุ่ม Mega Influencer นี้จึงต้องเป็นเรื่องราวที่แบรนด์อยากสร้าง ‘การรับรู้’ กับสาธารณชนอย่างสูง เพราะแน่นอนว่าค่าตัวการใช้งานพวกเขาจะแพงมาก ในขณะที่ follower เองก็รู้ว่าคอนเทนท์จากเหล่าเซเล็บส่วนใหญ่คือการโฆษณาสินค้า ทำให้เขารับรู้ได้ว่าในท้องตลาดมีสินค้าแบบนี้พร้อมขายอยู่ แต่พวกเขาจะเชื่อตาม หรือจะใช้ตามหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

2) Macro Influencer  เป็นกลุ่มคนประเภทที่ถูกมองเป็น expert ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ มีคนติดตามในหลักแสน แต่มีความน่าเชื่อถือแบบ ‘คนรู้จริง’ ที่ follower มีแนวโน้มจะเชื่อตามค่อนข้างมาก เช่น กูรูเรื่องกล้อง, บิวตี้โปรดักท์, โรงแรมห้าดาว ฯลฯ)

3) Micro Influencer กลุ่มสุดท้ายนี้กำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้จะเป็นกลุ่มที่มี follower แค่หลักหมื่นหรือพันปลายๆ แต่กลับป็นกลุ่มที่อยู่ใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมากที่สุด ผู้บริโภคจึงอินกับคอนเทนท์ของคนกลุ่มนี้ได้ง่าย รวมถึงให้ความเชื่อถือในแง่ที่ว่าคอนเทนท์นั้นมีความ ‘เป็นของจริง’ ในระดับสูง

HERO / HUB / HELP – ทฤษฎี 3H แห่งการจัดการคอนเทนท์

บริษัทนวัตกรรมอย่างกูเกิ้ลเคยบอกว่ากลยุทธ์การทำคอนเทนท์ที่ครบครันนั้นจะต้องแบ่งประเภทคอนเทนท์ออกเป็นอย่างน้อย 3 แบบคือ

1) Hero Content  หมายถึงคอนเทนท์ที่ทำหน้าที่ ‘จุดพลุ’ ให้แบรนด์ดัง ปังแรง และเป็นที่รู้จักในวงกว้างอย่างรวดเร็ว คุณสมบัติของคอนเทนท์กลุ่มนี้คือต้องมี viral ability สูงมากๆ ไม่เน้นเนื้อหา hard sale แต่เน้นการสื่อสารทัศนคติของแบรนด์ บอกกล่าวว่าแบรนด์ให้คุณค่ากับอะไร และจะทำอะไรยังไงบ้างให้เกิดเป็นกระแสสังคมที่ดีในวงกว้าง ยกตัวอย่างเช่น โฆษณาของบาบีกอนในเทศกาลวันแม่ หรือโฆษณาของไทยประกันชีวิต เป็นต้น

2) Hub Content  อันนี้เป็นคอนเทนท์เพื่อจุดประสงค์ด้านการขายโดยเฉพาะ (New Initiative/ Product Content) เช่น คอนเทนท์โฆษณษขายครีมบำรุงผิวในฤดูหนาว เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อ การบริโภค สร้างยอดขายตามฤดูกาลนั้นๆ

3) Help Content  กลุ่มสุดท้ายคือคอนเทนท์ที่ไม่ได้เป็นพระเอกนางเอก แต่ต้องอยู่คู่กับแบรนด์ไปตลอดกาล จะเรียกว่า Timeless Content ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นเนื้อหาประเภท How-to, Basic Knowledge หรือ Service manual ต่างๆ ทำหน้าที่หลักเป็นสะพานให้ลูกค้าผูกติดอยู่กับแบรนด์อย่างสบายใจ ไม่ได้มีเวลากำหนดว่าจะต้องสื่อสารออกไปตอนไหน แต่ต้องตอบคำถามลูกค้าได้ตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น เมื่อลูกค้าซื้อเครื่องกรองอากาศไปแล้ว 1 ปี และอยากเปลี่ยนไส้กรอง เขาต้องสามารถเข้าถึง ‘คอนเทนท์ช่วยเหลือ’ นี้ได้แบบทันทีทันใจ อาจจะอยู่ในเว็บไซต์ของแบรนด์ หรือผ่านช่องทางอื่นๆ ที่ลูกค้าจะเข้ามาขอข้อมูลได้อย่างสะดวก เช่นทางไลน์ ทางเฟสบุ๊ค เป็นต้น

“การจัดระเบียบและคัดแยกประเภทของคอนเทนท์บนแพลทฟอร์มต่างๆ ไม่ว่าจะใน facebook หรือ YouTube เป็นสิ่งที่แบรนด์ควรทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่ทั้งเราและลูกค้าของเราจะสามารถค้นหาและหยิบจับคอนเทนท์ต่างๆ มาใช้ได้อย่างถูกที่ถูกเวลา และเกิดความคุ้มค่าสูงสุด”

เครดิตข้อมูล: จากการบรรยายในหัวข้อ Design Compelling Content Strategy (ภายใต้หลักสูตร Digital Marketing in Action) โดย เมธี จารุมณีโรจน์ Co-founder และ Managing Partner แห่งบริษัท BrandAholics นักการตลาดมือทองที่มีประสบการณ์หลากหลายและยาวนานกว่า 20 ปีในธุรกิจ FMCG ระดับสากล

ภาพประกอบ: เมธี จารุมณีโรจน์ และ pexels.com


ผู้เขียน
วิสาข์ สอตระกูล

อดีตนักโฆษณาที่ผันตัวมาเป็นนักเล่าเรื่อง นักเขียน และบรรณาธิการบทความด้านธุรกิจสร้างสรรค์ งานออกแบบ และวัฒนธรรมเมือง อย่างมีความสุข

จักรพล จันทวิมล สู่ทศวรรษที่ 7 แห่งความสำเร็จของ “นันยาง”

695
SHARE

KEY FOCUS

  • ความสำเร็จทางการตลาดเกิดจากความเข้าใจในสินค้าของตนเองและรู้ซึ้งถึงพฤติกรรมลูกค้าอย่างรอบด้าน
  • หัวใจของธุรกิจที่ยั่งยืนคือคุณภาพสินค้าต้องเสมอต้นเสมอปลาย ลูกค้าต้องซื้อซ้ำ บอกต่อและส่งต่อ
  • แสวงหาโอกาสการเติบโตจากหลายๆ มุมมองในตลาด แม้จะเล่นตลาดเดิมแต่ก็แบ่งเซ็กเมนต์ใหม่ได้
  • อย่าหวั่นไหวกับกระแสความเปลี่ยนแปลง แต่ก็ห้ามปฏิเสธที่จะมองหาช่องทางใหม่ๆ
  • นันยางมีจุดยืนที่ชัดเจน คือไม่เน้นโตแบบหวือหวา แต่มีปณิธานแรงกล้าในการส่งต่อธุรกิจให้คนรุ่นต่อไป
  • บริหารคนด้วยความเข้าใจ ยึดหลักความสมดุล

เป็นเรื่องน่าทึ่งที่แบรนด์รองเท้าแบรนด์หนึ่งจะได้รับความนิยมมายาวนานถึง 60 ปี โดยที่ตัวผลิตภัณฑ์นั้นยังคงรูปแบบเดิมๆ เหมือนที่วางจำหน่ายตั้งแต่ยุคแรก… ด้วยเหตุผลนี้ สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยจึงชวน จักรพล จันทวิมล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท นันยาง มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ทายาทรุ่นที่สามของ ‘นันยาง’ มานั่งจับเข่าคุยพร้อมแบ่งปันวิสัยทัศน์ด้านการตลาดของแบรนด์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ‘คู่เท้าคนไทย’ มานานกว่าหกทศวรรษ

กว่าจะมาเป็น ‘นันยาง’ ในวันนี้ กิจการอายุกว่า 60 ปีมีความเป็นมาอย่างไรครับ

ก่อนปี พ.ศ.2496 นันยางเป็นแบรนด์รองเท้าของคนสิงคโปร์ครับ ที่เราทำคือธุรกิจแบบซื้อมาขายไป จนกระทั่งปี พ.ศ.2496 นั่นล่ะเราถึงขอซื้อกิจการเขาและมาตั้งโรงงานเองในประเทศไทย โดยออก ‘รองเท้าผ้าใบพื้นเขียว’ รุ่น 205-S เป็นสินค้าตัวแรก (ปีพ.ศ.2499) ซึ่งก็ยังผลิตให้คนใส่กันจนทุกวันนี้ และในปีถัดมาเราก็ออก ‘รองเท้าแตะช้างดาว’ ฉะนั้นรองเท้าผ้าใบนันยางและรองเท้าแตะช้างดาวที่พวกคุณเห็นทุกวันนี้ ล้วนมีอายุเกิน 60 ปีแล้วนะ ที่ผ่านมามีรายละเอียดปลีกย่อยที่เราดีไซน์ใหม่บ้าง แต่หลักๆ ยังคงเดิมทั้งหมด

ยุคสมัยแตกต่าง การตลาดแตกต่างไหม

รองเท้าผ้าใบพื้นเขียว รุ่น 205-S จริงๆ ออกแบบมาเพื่อนักแบดมินตัน แต่มันก็ได้รับความนิยมจากคนทั่วไป ที่นิยมใส่ในทุกๆ กิจกรรม  ช่วง 20 ปีแรกนันยางเรียกได้ว่าเป็นรองเท้าแบบ all around แต่พอช่วงปี พ.ศ.2510-2520 สินค้าต่างประเทศเข้ามาแข่งมากขึ้น รองเท้าคู่เดียวใส่ all around ไม่ได้แล้ว ตลาดมันมีเซ็กเมนต์หลากหลาย แบรนด์นันยางจึงหันกลับมามองตัวเองว่าเราเชี่ยวชาญอะไร เราเก่งการผลิตแบบแมส สินค้าเราคุณภาพดี ราคาไม่แพง และเราพบผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งที่ยังคงใส่รองเท้าแบบ all around นี้อยู่เสมอนั่นคือนักเรียน  ทำให้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 เป็นต้นมาเราวางตำแหน่งแบรนด์ให้เป็นรองเท้านักเรียนไปเลย จนถึงตอนนี้ลูกค้า 80% ก็ยังคงเป็นนักเรียนอยู่ ส่วนอีก 20% เป็นคนทั่วไปที่ใส่เล่นกีฬาและใส่ไปทำงาน

 

“มีเรื่องน่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่งคือคนที่ใส่นันยางเล่นตะกร้อเกือบ 100% เพราะคุณสมบัติมันเหมาะสม”

แล้วคุณรู้ไหมว่าในประเทศไทยตะกร้อคือหนึ่งในกีฬ่า 5 ประเภทที่คนนิยมเล่นมากที่สุด ถ้าไปดูตามโรงงานหรือสวนสาธารณะคุณจะเห็นคนเล่นตะกร้อเยอะมาก นั่นทำให้เราหันมาเจาะตลาดกลุ่มนี้ด้วย  และเมื่อกีฬานี้ได้รับความนิยมสูงขึ้นในอาเซียน ในเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ยุโรป ออสเตรเลีย ฯลฯ มันก็ช่วยให้เราขยายตลาดไปยังต่างประเทศอีก เพราะหลังจากเขามาศึกษากันว่าคนไทยใส่รองเท้าอะไรเล่นตะกร้อ (ถึงได้เล่นเก่ง) พอพบว่าเป็นรองเท้านันยาง เขาก็หันมาใส่ตาม เรื่องนี้สร้างยอดขายให้เราได้หลายหมื่นคู่ต่อปีนะ เรียกว่าสินค้าขายตัวมันเองได้มาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วนี้เอง เราถึงเริ่มทำแคมเปญสื่อสารการตลาดจริงจัง โดยนำเรื่องกีฬาตะกร้อมาเป็นจุดขาย

ความยากง่ายของตลาดนักเรียน

ตลาดนักเรียน…ฟังดูเหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่ายนะครับ เพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้มีความ dynamic มาก ยุคสมัยเปลี่ยน นักเรียนก็เปลี่ยนตาม แต่พูดก็พูดคือนันยางเรายังซ้ำชั้นอยู่  เด็กม.6 เรียนจบออกไปทุกปีนะ ฉะนั้นเราก็ต้องมาคิดกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป ให้เด็กป.1 และเด็กอีกทั้ง 12 ชั้นปียังใส่นันยางไปเรื่อยๆ  ตลาดมันใหญ่มากก็จริง แต่มันไม่ได้โตขึ้นนะ นี่คือความท้าทายที่เราต้องเผชิญ

ทีนี้หันมามองรองเท้าแตะช้างดาวดูบ้าง สินค้าตัวนี้เป็นสไตล์ที่อยู่เหนือกาลเวลา คุณเชื่อไหมตลอด 60 ปี เราไม่เคยทำโฆษณาเลย แต่สามปีที่ผ่านมาเราเริ่มตระหนักแล้วว่ากลุ่มลูกค้าของเรามีอายุมากขึ้น เราจำเป็นต้องดึงแบรนด์ให้มีความเด็กลง พยายามเจาะกลุ่มลูกค้าตั้งแต่อายุราว 25 ปี  พวกเราทำแคมเปญ ‘ช้างดาวสไตล์’ ออกมา โดยเพิ่มดีไซน์ใหม่ๆ ให้ตัวรองเท้า นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่เราปรับผลิตภัณฑ์นะครับ

นอกจากนั้นเราก็พยายามทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียมากขึ้น ซึ่งนับว่า แฮชแท็ก (#) ช้างดาวสไตล์ก็ประสบความสำเร็จไม่น้อย ที่น่าสนใจอีกประการคือมีคนนำรองเท้าเราไปเพิ่มมูลค่า เช่นเอาไปแกะสลักหรือทำลวดลายเฉพาะตัว ทำให้คนมองว่ารองเท้าแตะช้างดาวนี้เป็นสินค้าแฟชั่นได้ แต่เราเองจะไม่วิ่งตามกระแสนะ เพราะจุดยืนของเราคือสไตล์ที่ไร้กาลเวลา ไม่ใช่แฟชั่นที่ต้องเปลี่ยนบ่อย

“เรามองตัวเองเป็นแพลทฟอร์มของการต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ดีกว่า เพราะถ้าเราดีไซน์เองปีหนึ่งอาจจะได้สัก 10 แบบ แต่ถ้าคนอื่นทำ…มันไม่มีขีดจำกัด”

ปัจจัยที่ทำให้นันยางกลายเป็นตำนาน และสามารถแข่งขันได้มาโดยตลอด

คุณภาพของสินค้าต้องคุ้มค่าเงินครับ เชื่อผมเถอะว่าไม่ว่าคุณจะทำการตลาดดีแค่ไหน แต่ถ้าสินค้าคุณไม่มีคุณภาพ ผู้บริโภคจะซื้อเพียงครั้งเดียว สินค้าที่อยู่ยาวได้จะต้องมีผู้ซื้อซ้ำ มีผู้บอกต่อ การสื่อสารและการตลาดคือประตูบานแรกที่ทำให้เกิดการทดลองซื้อทดลองใช้ แต่สุดท้ายแล้วคุณภาพมันต้องตอบโจทย์ และต้องดีเสมอต้นเสมอปลายด้วยครับ

หลายสิบปีที่ผ่านมา นันยางต้องเผชิญกับอุปสรรคอะไรบ้าง

อันดับหนึ่งคือ ความเสี่ยง เราเข้าใจความจริงที่ว่า high risk, high return นะ แต่เราไม่ค่อยชอบเสี่ยงไง (หัวเราะ)  60 ปีที่ผ่านมามีทั้งความวุ่นวายในประเทศ ภัยธรรมชาติ วิกฤตเศรษฐกิจ ฯลฯ ที่เราผ่านมาได้เพราะเราไม่ลงทุนเกินตัว เราดำเนินธุรกิจแบบไม่หวือหวา แต่จะมีชีวิตต่อไปเรื่อยๆ  สองคือ ตลาดไม่โต เพราะตัวเลขนักเรียนไม่เพิ่มขึ้น ผู้เล่นในตลาดต้องแย่งลูกค้ากัน เป็น zero sum game หมายถึงลูกค้าจะเลือกซื้อเฉพาะแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง จะไม่มีการซื้อหรือไม่ซื้อทั้ง 2 ยี่ห้อ ดังนั้นช่วงเดือนพฤษภาคม (เปิดเทอม) คือหมัดเดียวของตลาดนักเรียน เราต้องใช้กลยุทธ์ทุกวิถีทางเพื่อชนะใจลูกค้าให้ได้ สมัยก่อนใช้วิธีแลกซื้อของเล่น แต่ตอนหลังเลิกไปเพราะพฤติกรรมเด็กเปลี่ยน เขาสามารถหาซื้อของเล่นได้ตามตลาดทั่วไป และโมเดิร์นเทรดก็ไม่ค่อยยอมเล่นด้วยกับเรื่องของแถม ฯลฯ

ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้เราต้องหันมาทำแคมเปญตอกย้ำความเชื่อมั่นในแบรนด์ ต้องเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงผู้บริโภคได้มากที่สุด มีความเข้าใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง (empathy) ที่ผ่านมาเราต้องพูดคุยกับเด็กๆ ตลอดเพื่อหาวิธีการสื่อสารกับเขา  นันยางเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดเด็กมัธยมจริง แต่กับเด็กประถมเราไม่ใช่ ซึ่งการที่เรามองเซ็กเมนต์แยกย่อยลงไปอย่างนี้ ก็ทำให้เรามองเห็นโอกาสที่แฝงอยู่อีกมาก ปัจจุบันทีมการตลาดเรามุ่งลุยตลาดเด็กประถมมากขึ้น ด้วยการออกสินค้าใหม่คือ ‘นันยาง Have Fun’ สำหรับเด็กอายุ 6-9 ปีโดยเฉพาะ วิธีนี้ก็ทำให้ตลาดเด็กประถมของเราโตขึ้นเรื่อยๆ

และนอกจากเรื่องอายุแล้ว ตอนนี้เรายังมองเรื่องเพศด้วย ที่ผ่านมาเด็กผู้หญิงใส่นันยางแค่ 10% เราเลยออกรองเท้า ‘นันยาง ชูการ์’ มาสำหรับนักเรียนหญิง ก็ทำให้ยอดโตขึ้นได้เหมือนกัน

กระแส Digital Disruption กระทบกระเทือนหรือสร้างโอกาสให้นันยางอย่างไรบ้าง

ธุรกิจเราเป็นโรงงานผลิตเอง ดังนั้นคงไม่มีการ disrupt จนถึงขนาดล้มหายตายจากครับ แต่ผมมองว่ายุคนี้เราก็ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลได้มากมายมหาศาล โดยเฉพาะกับเรื่องการสื่อสารการตลาด เราใช้โซเชียลมีเดียอย่างเข้าใจในธรรมชาติของแต่ละแพลทฟอร์ม ตอนนี้เรามีแฟนเพจ 1 ล้านคนซึ่งก็ถือว่าไม่แย่  จริงๆ ตลาดรองเท้านักเรียนกับโลกดิจิทัลถือว่าขยับช้ามากนะ ช่องทางการจัดจำหน่ายหลักๆ ก็ยังเป็นร้านอาเฮียหน้าปากซอยอยู่ แม้เราจะมีจำหน่ายออนไลน์ก็ตาม

ดังนั้นการทำโปรโมชั่นหรือการวางแผนกิจกรรมทางการตลาดก็ต้องคำนึงถึงธรรมชาติของช่องทางการขายด้วย สัดส่วนการขายปัจจุบันคือ ร้านค้าแบบเดิม 70-80% โมเดิร์นเทรด 15-20% ออนไลน์ยังไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำ แต่ในอนาคตผมว่ามันมีแนวโน้มจะโตไปแตะที่ 5% ได้ ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่เราพอใจและตื่นเต้นพอสมควร

กับคำกล่าวที่ว่า “ธุรกิจครอบครัวมักอยู่ได้แค่ 3 ชั่วอายุคน” คุณคิดเห็นอย่างไร

ก็เป็นความจริงนะ สถิติคือธุรกิจครอบครัวที่อยู่รอดในรุ่นที่ 3 มีแค่ 4% ถ้าไปถึงรุ่นที่ 4 จะเหลือแค่ 1% แต่สำหรับนันยาง ผมตั้งเป้าหมายส่วนตัวว่าต้องสานต่อ และส่งต่อธุรกิจนี้ให้คนรุ่นที่ 4 ให้ได้

เรามีจุดยืนคือต้องก้าวไปอย่างมั่นคง เน้นความเสี่ยงต่ำ คุณอาจจะไม่ได้เห็นเราทำอะไรหวือหวามาก แต่เมื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมหลายๆ ประการ รวมทั้งตลาดที่มีอยู่ ผมว่าแม้เราจะไม่โตเร็ว แต่เราไม่ตายครับ

ปัญหาใหญ่ของธุรกิจครอบครัวคือบทบาทความเป็นครอบครัวกับความเป็นธุรกิจมันขัดแย้งกัน เช่น พ่อกับลูกมีปัญหากันที่ทำงาน เพราะเวลาอยู่บ้านพ่อจะยอมลูกตลอด แต่พอมาที่ทำงานบทบาทมันเปลี่ยนไป จากลูกรักกลายมาเป็นลูกน้อง ถ้าเขาไม่รู้ว่าหมวกของเขาเปลี่ยนไปแล้วก็มักจะมีปัญหา ดังนั้นผมแนะนำว่าควรให้ลูกหลานไปมีประสบการณ์การทำงานจากข้างนอกก่อน เพื่อให้เขาเปิดโลกทัศน์ และเข้าใจวิธีการทำงานในโลกแห่งความเป็นจริง

ปิดท้ายด้วยการวิเคราะห์ความยากง่ายของธุรกิจในยุคนี้

ก็อย่างที่คุณรู้ โลกเปลี่ยนเร็ว ตลาดเปลี่ยนเร็ว เทคโนโลยีก็มีทั้งคุณและโทษ สำหรับผมคิดว่าเรื่องบุคลากรเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อนร่วมงานที่ช่วงอายุต่างกันจะมีลักษณะการทำงานและเป้าหมายชีวิตที่ต่างกันมาก ดังนั้นเราต้องจัดส่วนผสมให้สมดุล แล้วทีมงานจะขับเคลื่อนได้ดีครับ

CREATIVE JUICE

  • สไตล์เหนือกาลเวลาคือแฟชั่นที่ไม่ต้องวิ่งตามใคร อย่างรองเท้าแตะช้างดาวที่ถูกมองว่าเป็นรองเท้าแตะเซอร์ๆ แต่พอคนต่างชาติหรือเซเล็บนำไปใส่แล้วกลับดูเท่ เป็นความคลาสสิกที่พลิกแพลงได้ นี่คือใช้สไตล์อย่างฉลาด
  • ให้ระลึกไว้ว่าผู้สืบทอดกิจการ ‘รุ่นต่อไป’ ไม่จำเป็นต้องหมายถึงลูกของคุณ แต่อาจหมายถึงหลานหรือใครก็ตามที่มีศักยภาพพอจะสืบทอดธุรกิจ ‘จากรุ่นสู่รุ่น’ ได้จริง
รูปเพิ่มเติม

ผู้เขียน
ชัชรพล เพ็ญโฉม

ชอบคิด ชอบเขียน ชอบเดินทาง ชอบชิม ชอบดู ชอบฟัง ชอบสิ่งเร้าจิตทั้งปวง

Priceza เปิดตัว “Priceza Insights” ดันเป็นอีคอมเมิร์ซ ฮับในไทย

656
SHARE

ตลาดออนไลน์คึกคัก Priceza หนุนผู้ประกอบการ เพิ่ม “Priceza Insights” แหล่งรวบรวมข้อมูลเชิงลึก อินไซต์ของวงการอีคอมเมิร์ซ ยกระดับธุรกิจก่อนลงสนามสู้ศึกอีคอมเมิร์ซ 2019 ตั้งเป้าเป็นอีคอมเมิร์ซ ฮับ ในประเทศ จากยอดผู้เยี่ยมชมเว็บกว่า 12 ล้านครั้งต่อเดือน

นายธนาวัฒน์ มาลาบุปผา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ไพรซ์ซ่า จำกัด ผู้ให้บริการเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน “Priceza” (ไพรซ์ซ่า) แพลตฟอร์มค้นหาสินค้าและบริการเปรียบเทียบ อันดับหนึ่งของประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทเป็นสื่อกลางให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างๆ นำสินค้าชนิดเดียวกันมาเปรียบเทียบกัน เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกและตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น ล่าสุดได้เพิ่ม Priceza Insights (ไพรซ์ซ่า อินไซต์) เว็บเพจใหม่ในเว็บ Priceza.com เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลเชิงลึกของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาธุรกิจของผู้ประกอบการ รวมถึงเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์การแข่งขันของตลาดอีคอมเมิร์ซที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

“เราตั้งเป้าให้ Priceza Insights เป็น E-Commerce Hub ในประเทศไทย เป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยได้ประโยชน์จากการนำข้อมูลในเว็บไซต์มาปรับใช้ เตรียมความพร้อมสู้ศึกอีคอมเมิร์ซ 2019 อย่างมั่นใจ ทั้งนี้ผู้ประกอบการธุรกิจอีคอมเมิร์ซนอกจากการรู้จุดแข็งของธุรกิจแล้ว ต้องรู้จักลูกค้า เข้าใจตลาด และเทรนด์ใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่ง Priceza Insights ได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกของวงการอีคอมเมิร์ซ เพื่อช่วยยกระดับธุรกิจให้สามารถพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว” นายธนาวัฒน์ กล่าว

ความโดดเด่นของ Priceza Insights นอกจากรวบรวมความรู้ด้านอีคอมเมิร์ซ การค้าขายออนไลน์ รวมถึงข่าวสารด้านการตลาดแล้ว ยังได้รวบรวมคำค้นหายอดนิยม สินค้ายอดนิยม ร้านค้ายอดนิยม และระดับราคาที่ลูกค้าพึงพอใจ เพื่อให้ผู้ประกอบการได้นำข้อมูลไปใช้ในการทำแคมเปญส่งเสริมการตลาด ให้เกิดยอดขายในช่วงนั้นๆ สูงขึ้น โดยผู้ประกอบการสามารถนำข้อมูลไปปรับใช้และพัฒนาธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างมีประสิทธิภาพ

“Priceza Insights เก็บฐานข้อมูลสถิติเชิงลึกจากการเยี่ยมชมเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน Priceza โดยนำมาวิเคราะห์และนำเสนอให้ผู้ประกอบการได้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างบทความไฮไลต์ เรื่องความนิยมและความต้องการของตลาด E-Commerce ปี 2019 จากปัญหาการเกิดมลภาวะทางอากาศในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริโภคตระหนักถึงการป้องกันตัวเองมากขึ้น ส่งผลให้สินค้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องฝุ่นละออง PM 2.5 เป็นที่นิยมและต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสินค้าที่อยู่ในเทรนด์ อย่างหน้ากาก N95 และเครื่องฟอกอากาศ รวมถึงพบว่าราคาเครื่องฟอกอากาศ ช่วงราคาที่ขายดีที่สุดคือ ราคาไม่เกิน 3,000 บาท ซึ่งสินค้านี้มียอดคลิกค้นหาเพิ่มสูงขึ้นในเดือนมกราคม 2562 จากเดือนพฤศจิกายน 2561 ถึง 40 เท่า สัมพันธ์กับยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 4 เท่า สร้างรายได้ให้กับร้านค้าอีคอมเมิร์ซรวมกว่า 1.2 ล้านบาท” นายธนาวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย

สุดท้ายแล้วผู้ประกอบการที่ปรับตัวเองอยู่เสมอ จากการหาข้อมูลที่เหมาะสมและเชื่อถือได้ จะสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง เพราะตลาดอีคอมเมิร์ซ หรือการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดในประเทศไทย เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความมั่นใจในการซื้อสินค้าและบริการ พร้อมชำระเงินในรูปแบบออนไลน์มากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลให้สถานการณ์การแข่งขันของตลาดอีคอมเมิร์ซมีความดุเดือด และมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจในรูปแบบการซื้อสินค้าระหว่างผู้ผลิต เจ้าของสินค้า และผู้จัดจำหน่าย เว็บไซต์ศูนย์รวมสินค้า หรือมาร์เก็ตเพลส E-Tailer และอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดกันอย่างคึกคัก ดังนั้นผู้ประกอบการสามารถเตรียมความพร้อมก่อนใครๆ กับ Priceza Insights ได้ที่ https://www.priceza.com/insights/

Tags:

ผู้เขียน
MAT TEAM

สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

ณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง: เมื่อคนไม่หยุดนิ่ง การตลาดก็ไม่มีสูตรสำเร็จ

SHARE

KEY FOCUS

  • ณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง กูรูด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง บอกชัดว่า Digital Marketing ไม่ใช่คำตอบเดียวในโลกการตลาด ความเข้าใจต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่แท้จริงเท่านั้นที่จะทำให้คุณเลือกเครื่องมือการตลาดที่เหมาะสมได้
  • การตลาดเชิงประสบการณ์ (Experiential Marketing) กำลังก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญเป็นลำดับต่อไป เพราะสุดท้ายแล้วมนุษย์เราแค่ต้องการได้รับประสบการณ์ที่ดีในทุกๆ ด้าน
  • อย่าเลือกใช้สื่อดิจิทัลด้วยเหตุผลที่ว่าใครๆ ก็ใช้ แต่ให้เลือกด้วยเป้าหมายว่าเราจะใช้มันสื่อสารกับใครและในบริบทไหน
  • เทคโนโลยี 5G ที่ประมวลผลข้อมูลอันซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว จะทำให้เกิดสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ๆ ที่เราไม่คาดคิดมาก่อน
  • สามหัวใจในโลกธุรกิจวันนี้คือ 1) Content is King 2) Distribution is Queen และ 3) Context is GOD

ในโลกทุกวันนี้วิวัฒนาการของเทคโนโลยีคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเมื่อสิบยี่สิบปีก่อนที่เราเคยซื้อคาสเซ็ทเทป ซื้อแผ่นซีดี หรือต่อมาก็เป็นแผ่น MP3 ณ วันนี้เราได้ก้าวข้ามยุคของการครอบครอง ‘กายภาพของเสียงดนตรี’ มาสู่โลกของการเสพดนตรีแบบ streaming ที่อาศัยเพียงแอพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนอย่าง Spotify, Apple Music หรือ Joox เป็นทางผ่านชั่วคราวเท่านั้น  ในโลกของการเสพภาพยนตร์หรือละครก็เช่นกัน วันนี้หน้าจอโทรทัศน์ไม่ใช่ที่ที่ใครจะต้องไปนั่งเฝ้าอีกแล้ว เราสามารถเลือกชมรายการอะไรก็ได้ในช่วงเวลาที่เราพอใจที่สุด ผ่านช่องทางอย่าง YouTube, LINE TV หรือบริการ streaming สุดฮิตอย่าง Netflix

อย่างไรก็ดี ณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง กูรูด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งคนดังกลับย้ำชัดว่า “การตลาดในโลกยุคนี้ใช่ว่าจะต้องโฟกัสแต่ที่เทคโนโลยีใหม่ๆ เท่านั้น มันไม่ใช่ว่าทุกคนต้องทำ Blockchain ต้องมี AI หรือต้องทำแอพลิเคชั่น ฯลฯ หัวใจของการตลาดที่แท้ยังคงอยู่ที่การ ‘ตีความบริบทและความสัมพันธ์’ ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมของโลกสมัยใหม่”

วันนี้สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยจับเข่าคุยกับคุณแก่ – ณัฐพัชญ์ ผู้ก่อตั้ง Dots Consultancy ที่ยินดีแบ่งปันข้อคิดและมุมมองอันมีค่าของเขาให้กับผู้ประกอบการไทยที่กำลังเผชิญพายุแห่งการตัดสินใจว่า “ฉันจะต้องทำอะไรให้ธุรกิจปลอดภัยในโลกดิจิทัล”

MAT: เราควรบ่มเพาะนักการตลาดชนิดไหนขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์โลกการแข่งขันทุกวันนี้

ณัฐพัชญ์: ผมเชื่อเสมอว่านักการตลาดที่ดีต้องเข้าใจลูกค้าก่อนเป็นอันดับแรก แต่ปัญหาที่เราพบบ่อยๆ ก็คือนักการตลาดส่วนใหญ่มักจะวิ่งไปเริ่มต้นที่เครื่องมือ จนหลงลืมไปว่าเรากำลังขายของกับมนุษย์ ไม่ใช่เทคโนโลยี

ถ้ามองในมุมของนักเศรษฐศาสตร์ การทำธุรกิจก็คือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างคนกับคน ดังนั้นหน้าที่ของนักการตลาดคือเราจะทำอย่างไรให้เกิดการแลกเปลี่ยนนั้นขึ้นได้

“คุณต้องตอบคำถามพื้นๆ สองข้อให้ได้ก่อนว่า คุณจะเอาอะไรมาแลกกับอะไร และ คุณจะโน้มน้าวผู้อื่นอย่างไรให้เขาอยากทำการแลกเปลี่ยนกับคุณ”

แน่นอนว่าเฟรมเวิร์คในการทำการตลาดก็มีความสำคัญ แต่สิ่งที่ต้องมาก่อนนั้นคือเราต้องใช้มุมมองเชิง ‘มนุษยศาสตร์’ เพื่อทำความเข้าใจเหตุผลลึกๆ ว่าทำไมคนเราถึงต้องการจะแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างระหว่างกัน นี่ล่ะคือหน้าที่ของนักการตลาดที่ต้องรู้ถึงแรงจูงใจนั้นให้ได้

“การตลาดตั้งแต่ยุค 1.0 มาจนถึง 4.0 ไม่เคยหนีพ้นเรื่องคนครับ ตราบใดที่คนยังเป็นผู้ตัดสินใจทำการแลกเปลี่ยนอยู่  การบ้านหลักของนักการตลาดก็คือการศึกษากระบวนการตัดสินใจของคนว่าเป็นอย่างไร ไม่ใช่การวิ่งตามเทคโนโลยีไปเรื่อยๆ แบบไม่รู้เป้าหมาย

ทั้ง Facebook และ Google เขายังพูดเลยว่าเราให้เครื่องมือคุณในการเข้าถึงลูกค้าได้ แต่เราบอกไม่ได้นะว่าลูกค้าของคุณคือใคร คุณต้องเลือกกลุ่มเป้าหมายของคุณเองก่อนที่จะเลือกใช้เครื่องมือเหล่านี้

MAT: ที่คุณมองทะลุเรื่องความเป็นมนุษย์มากขนาดนี้ เป็นเพราะคุณไม่ได้เรียนการตลาดมาโดยตรงหรือเปล่า

ณัฐพัชญ์: ผมไม่อยากพูดแบบนั้นนะ เพราะนักเรียนการตลาดหลายๆ คนเขาก็มองมุมนี้ได้ แต่ผมขอเรียกว่าเป็นการใช้ approach จากสาขาวิชาอื่นที่ก็มีข้อดีเหมือนกัน เป็น approach ที่ไม่ได้มีทฤษฎีซับซ้อน แค่มองบริบททุกอย่างให้ชัดเจน เพื่อให้รู้ถึงสาเหตุและผลลัพธ์ในกระบวนการทางการตลาดที่มันจะเป็นไป  กระบวนการคิดของผมไม่ได้เริ่มจากการตอบคำถามว่า ‘SWOT คืออะไร’ แต่ผมเริ่มจากการคิดแบบ ‘รู้เขารู้เรา’ ซึ่งนัยหนึ่งมันก็เหมือนการทำ SWOT analysis ที่คุณวิเคราะห์จุดแข็ง – จุดอ่อน – โอกาส – อุปสรรค นั่นแหละ แต่นักการตลาดบางคนพยายามเหลือเกินที่จะเติมช่อง SWOT นี้ให้เต็ม โดยบางทีไม่ได้รู้เป้าหมายว่าการเติมข้อมูลนั้นเขาทำไปเพื่ออะไร

“วงการนี้ตีตราว่าคนที่จะทำการตลาดได้คือคนที่มีลิขสิทธิ์ที่เรียกว่าใบปริญญาด้านการตลาด ใครที่ไม่จบทางนี้มาจะอดทำ หรือถูกปรามาสว่าไม่มีความสามารถ ไม่รู้ทฤษฎี แต่สำหรับผมทุกคนมีสัญชาตญาณนักการตลาดในตัวทั้งนั้น”

เช่นเวลาผมพูดกับแฟน ผมก็กำลังโน้มน้าวอะไรบางอย่างให้แฟนเชื่อมั่นในตัวผม ซึ่งจะว่าไปในโลกการออกแบบก็มีเคสคล้ายๆ กันนะ เช่นกระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) กับทักษะการวาดภาพ (Drawing skill) มันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ถึงคุณวาดรูปไม่สวย คุณก็สามารถใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบได้ คุณนึกออกใช่มั้ย?

MAT: คุณคิดอย่างไรกับบทบาทของ ‘นักการตลาดิจิทัล’ ทุกวันนี้

ณัฐพัชญ์: จริงๆ ผมไม่อยากพูดว่าเรากำลังทำ Digital Marketing นะ แต่เรากำลังก้าวเข้าสู่การตลาดยุค Digital Age มากกว่า มันคือการตลาดในบริบทใหม่ที่ตอนนี้ผู้บริโภคใช้เทคโนโลยีและมีวิถีชีวิตไม่เหมือนเดิม บางคนถามว่าแล้วองค์ความรู้เดิมยังใช้งานได้ไหม สำหรับผมคือยังใช้ได้สิครับ แค่อาจจะไม่ 100% เพราะอย่างไรเสียการตลาดก็คือเรื่องของมนุษย์ ไม่ใช่เรื่องของหลักสูตร เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเพียงหนึ่งเครื่องมือที่มาใหม่ และในวันหน้าถ้าเราขยับไปยุคสู่ 5.0 หรือ 6.0 วิถีชีวิตของมนุษย์ก็จะเปลี่ยนไปอีก และเราก็จะมีเครื่องมือใหม่ๆ เพิ่มมาอีกเช่นกัน

Digital Disruption เป็นเรื่องปกติที่ต้องเกิดขึ้น ทุกธุรกิจยังไงมันก็ต้อง evolve เพื่อให้เกิดการพัฒนา ไม่ว่าคุณจะเรียกว่ามันว่า Disruption หรือ Evolution หรือ Revolution อะไรก็เถอะ มันแค่ต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เช่นปัจจุบันคนนิยมถ่ายรูปด้วยสมาร์ทโฟน ก่อนหน้านี้เป็นกล้องดิจิทัล ก่อนนั้นอีกเป็นกล้องฟิล์ม ถ้าคุณอยู่ในสายธุรกิจนี้คุณก็ต้องปรับตัว  หรืออย่างการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคการเมืองหลายพรรคยังเลือกคุยกับกลุ่มวัยรุ่นผ่านป้ายหาเสียงตามเสาไฟฟ้า ถามหน่อยว่าในชีวิตจริงวัยรุ่นเขาอยู่ที่ไหน เขาอยู่ในโลกออนไลน์นู่น คนถามว่าติดป้ายหาเสียงตามเสาไฟฟ้าผิดเหรอ คำตอบคือไม่ผิดครับ คุณแค่สื่อสารกับคนอีกกลุ่ม แต่ถ้าจะคุยกับวัยรุ่นต้องไม่ใช่วิธีนี้ วิธีการตัดสินใจของคนแต่ละกลุ่มไม่เหมือนกัน วิธีการพูดคุยก็ไม่เหมือนกัน ที่สำคัญคุณค่าทางใจของคนที่วัยรุ่นอยากเลือกเป็นตัวแทนเขามันต่างจากคนรุ่นเก่ามาก

“เราจะ unlearn การตลาดรูปแบบเก่าได้บ้างไหม เพื่อที่จะ relearn สิ่งใหม่ๆ ได้อีกครั้ง การตลาดก็ต้องวิวัฒนาการตัวเอง บางอย่างเราต้องตัดทิ้งไป ไม่เช่นนั้นจะไม่เหลือที่ให้เราเติมสิ่งใหม่เลย”

ที่นักการตลาดบางคนวกกลับไปทำงานแบบเดิมๆ ตลอดเพราะยึดติดแต่กับ execution ซึ่งมันเป็นแค่เปลือกนอก แต่ถ้าเรามองที่ core จริงๆ ซึ่งคือคน ใส่ใจที่ความเป็นมนุษย์ ผมเชื่อว่าจะไม่มีนักการตลาดคนไหนตกยุคเลย

อย่าใช้ Facebook หรือ IG เพราะคนฮิต หรืออย่าใช้ influencer เพราะแบรนด์อื่นเขามี แต่จงเลือกใช้เมื่อลูกค้าของคุณใช้มันเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการตัดสินใจซื้อ

MAT: ตัวเลือกสื่อออนไลน์ทั้ง Website, Facebook, IG, Twitter, Line ใช้งานแตกต่างกันอย่างไร

ณัฐพัชญ์: ทั้งหมดนี้คือ touchpoint ครับ คือจุดที่เกิดการปะทะระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ ที่ทำให้เกิด experience บางอย่างขึ้นมาในธุรกิจ เช่น การเข้าถึงข้อมูล การหาข้อมูลเพิ่มเติม ฯลฯ สำหรับผมมันเกี่ยวโยงกับการตลาดเชิงประสบการณ์ (Experiential Marketing) ไม่ใช่แค่การตลาดดิจิทัล เพราะสุดท้ายแล้วมนุษย์เราก็แค่ต้องการประสบการณ์ที่ดี Facebook, IG, Twitter หรือ Line ก็คือเครื่องมือในการส่งมอบประสบการณ์ที่ว่านี้ สำหรับผมทุกวันนี้ Call Center ก็ยังสำคัญ เพราะเมื่อลูกค้าต้องการความช่วยเหลือเขาจะโทรหา Call Center ก่อน เป็นหนึ่งเครื่องมือที่ทำให้แบรนด์ช่วยแก้ปัญหา และส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าได้

กลับมาที่คำถามของคุณว่าแล้วลูกค้าต้องการประสบการณ์แบบไหนจากช่องทางการสื่อสารใด โดยปกติแล้วลูกค้าคงไม่นั่งเฉยๆ แล้วนึกอยากเข้า website ของเราหรอก เขาต้องมีความต้องการเฉพาะบางอย่างถึงจะเข้ามาที่ website หลัก ดังนั้นความคาดหวังของเขาจะไม่เหมือนกับเวลาเล่น Facebook แล้วอยู่ๆ มีโฆษณาของเราโผล่ไปบนหน้าฟีด

“ความคาดหวังของลูกค้าคือจุดต่างครับ ช่วงเวลาที่เราต้องการบางสิ่งบางอย่างแล้วเราเข้าไปหาที่เว็บไซต์ กับช่วงเวลาที่เราไม่ได้สนใจอะไรแล้วแแบรนด์เข้ามาทักทายเราในเฟสบุ๊ค  expectation มันต่างกันเยอะ”

ทุกครั้งในการทำงานผมจึงไม่ได้เริ่มจากการเลือกช่องทางหรือแพลทฟอร์ม แต่เลือกว่าอะไรคือประสบการณ์และความคาดหวังที่ลูกค้าอยากได้จากเรา ซึ่งในบางทีความคาดหวังที่ต่างกันก็อาจจะอยู่ในแพลทฟอร์มเดียวกันก็ได้  คนเราเวลาอยู่ในบริบทของพื้นที่ หรือจังหวะเวลาที่ต่างกัน ก็จะมีความคาดหวังด้านปฏิสัมพันธ์และการรับข้อมูลที่ไม่เหมือนกัน หน้าที่ของนักการตลาดคือเราต้องจับทางให้ได้ว่า คนแบบไหน สถานที่แบบไหน ในจังหวะเวลาไหน ที่ใครจะมีความต้องการอะไร และด้วยเหตุผลใดบ้าง การตอบคำถามเหล่านี้ที่จะกำหนดรูปแบบการสื่อสารและช่องทางที่คุณควรเลือกใช้ได้เอง

“Philip Kotler เคยกล่าวไว้ว่า There is only one winning strategy.  It is to carefully define the target market and direct a superior offering to that target market”

ยกตัวอย่างเรื่องการเลือกบินกับสายการบิน Air Asia จริงๆ ผู้โดยสารแต่ละคนมีเหตุผลในการเลือกที่แตกต่างกันมาก บางคนเลือกเพราะมีเส้นทางบินหลากหลาย บางคนเลือกเพราะเวลาบินดีกว่าชาวบ้าน ในขณะที่บางคนเลือกเพียงเพราะตั๋วถูก ดังนั้น Air Asia ก็จะมีวิธีพูดคุยกับลูกค้าทั้ง 3 กลุ่มนี้ที่ไม่เหมือนกันเลย เพราะคำว่า Superior offering ของเขาแตกต่างกันหมด ทั้งๆ ที่เป็นลูกค้า Air Asia เหมือนกัน หรือกระทั่งบินไฟล์ทเดียวกันด้วยซ้ำ

MAT: คอนเทนท์ในการสื่อสารที่ดีต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง

ณัฐพัชญ์: ถ้าเป็นเรื่องของคอนเทนท์มันจะมีหลักที่เรียกว่า Perfect Communication Formula นั่นคือ Put the right content to the right people, at the right time, to the right place, and in the right format มันอาจฟังดูง่ายนะครับ แต่การทำจริงมันไม่ง่ายเลย การทำคอนเทนท์ที่ดีไม่ใช่แค่การโพสต์ภาพพร้อมโปรยคำสวยๆ แต่เราต้องเลือกวิธีการสื่อสารให้เหมาะสมด้วย เช่นถ้าเราคุยกับเด็กเล็กเราควรจะพูดด้วยโทนเสียงแบบไหน หรือเราคุยกับเพื่อนคนเดิมในงานศพกับงานแต่งงาน หัวข้อที่คุยก็คงไม่เหมือนกัน มันมีเรื่องของกาลเทศะเข้ามาเป็นปัจจัย

“การทำคอนเทนท์ที่ดีเราต้องเข้าใจองค์ประกอบทุกด้าน ทั้งตัวผู้ส่งสาร ผู้รับสาร เครื่องมือสื่อสาร บริบทเฉพาะ รวมไปถึงสภาวะแวดล้อมของการสื่อสารทั้งระบบนั้น”

คอนเทนท์มาร์เก็ตติ้งทุกวันนี้ไม่มีคำว่า ‘ใช่’ เป็นคำตอบสุดท้ายให้ใครแล้ว มันเป็นโลกที่มีปัจจัยซับซ้อน เป็นศิลปะมากกว่าเป็นสูตรตายตัว เช่นถ้าปกติเราโพสต์ขายพิซซ่าตอนห้าทุ่มมันคงไม่เกิดประโยชน์นัก เพราะมันเป็นช่วงเวลานอน หรือการส่งข้อความยาวๆ ไปให้เพื่อนอ่านตอน 10 โมงเช้าที่เพื่อนกำลังประชุมอยู่ก็คงไม่เวิร์ค นั่นหมายถึงคอนเทนท์ที่ใช่ แต่ดันมาผิดเวลา มันก็ไม่ตอบโจทย์อยู่ดี

“คำว่า Content is King ยังเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่อย่าลืมว่า Distribution is Queen และ Context is God การสื่อสารที่ประสบผลสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่ดีเพียงอย่างเดียว”
MAT: ช่วยยกตัวอย่างการทำมาร์เก็ตติ้งที่ผิดพลาด

ณัฐพัชญ์: วันนี้ถ้าคุณเปิด IG ดาราคุณจะพบดาราบางท่านถือสินค้าแล้วโพสต์ข้อความว่าวันนี้ใช้สินค้าตัวนี้นะ คำถามคือคุณคิดว่าคนที่กด like คือคนที่กดเพราะสินค้าหรือกดที่ความชื่นชอบดารา แล้วเขาได้อ่านสิ่งที่ดาราท่านนั้นเขียนจริงๆ รึเปล่า? แต่นักการตลาดกลับนำยอด like ทั้งหมดนี้ไปสรุปว่านั่นคือ brand engagement ซึ่งในความคิดผมเป็นสิ่งที่ผิดพลาดมาก ผมเคยลองทดสอบสมมติฐานนี้ด้วยการเปิด viral vdo ให้ผู้เข้าอบรมดู แล้วถามว่าวิดิโอนี้เป็นของแบรนด์อะไร คุณเชื่อไหมหลายคนตอบชื่อแบรนด์เป็นสินค้าคู่แข่งด้วยซ้ำ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการวัดผลการสื่อสารจึงไม่ใช่ยอด view หรือยอด like ครับ แต่มันคือการที่คนจดจำแบรนด์ของเราได้

“นักการตลาดบอกว่าคนไทยไม่ดูโฆษณาแล้ว ผมว่าไม่จริง คนไทยยังดูโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับตัวเขานะ เราแค่ไม่ดูโฆษณาที่ห่วยๆ”

ฉะนั้นการทำ viral clip ที่ไม่มีเนื้อหาส่งเสริมแบรนด์เลย แม้จะได้ยอดวิวสูงมาก แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะยอดวิวพวกนี้เอาไปถอนเงินจากธนาคารไม่ได้นะครับ (หัวเราะ)

MAT: เทคโนโลยี 5G จะเข้ามาเปลี่ยนบริบททางการตลาดอย่างไรบ้าง

ณัฐพัชญ์: เทคโนโลยี 5G จะเปิดช่องให้การรับส่งข้อมูลขนาดใหญ่รวดเร็วขึ้นอีกหลายสิบเท่า มันจะทำให้การส่งข้อมูลเชิงลึกหรือประสบการณ์ที่มีความซับซ้อนเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การทำ personalized marketing แบบ real time หรือการสร้างโปรดักท์ประเภท AR หรือ VR ก็จะแพร่หลายยิ่งขึ้นอีก เพราะเราสามารถนำ AR และ VR ติดตัวไปนอกบ้านได้  ลองคิดกลับไปนะครับว่าถ้าเราไม่มีอินเทอร์เน็ตแบบ Fiber 4G เหมือนทุกวันนี้ เราจะ streaming หนังหรือซีรีย์ดูกันบนมือถือนอกบ้านได้ยังไง  ซึ่งในอนาคตอินเทอร์เน็ต 5G ก็จะเข้ามาทำให้เกิดสินค้าหรือบริการรูปแบบใหม่ๆ ขึ้นอีก

“เทคโนโลยีใหม่จะพาเราไปสู่พฤติกรรมใหม่ และพฤติกรรมใหม่ก็จะนำเราไปสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่ด้วยเช่นกัน”

ยกตัวอย่างเช่นทุกวันนี้โรงหนังค่าย Major ไม่ได้มองว่า SF หรือ EGV เป็นคู่แข่งกลุ่มเดียวของเขานะ แม้แต่ร้านบิงซูก็ถือเป็นคู่แข่งด้วย เพราะคนไป Major ไม่จำเป็นต้องไปดูหนังอย่างเดียว แต่เขาไปหากิจกรรมทำกับแฟน กับเพื่อนฝูง ดังนั้นความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าจึงหมายถึงช่วงเวลาดีๆ สักสองชั่วโมงที่ได้อยู่กับแฟน ซึ่งสมัยก่อนไม่ใช่ โรงหนังก็เป็นแค่โรงหนังอย่างเดียว ดังนั้นการเป็นนักการตลาดที่ดีคือเราต้องรู้ insight ของลูกค้าให้หมด ผ่านการสังเกต การพูดคุย  การวิเคราะห์พฤติกรรม และต้องรู้จักประมวลผล insight เหล่านั้นด้วย มันศิลปะของการเข้าใจคน…เป็น Art of Persuasion

MAT: ฝากแนวคิดการทำมาร์เก็ตติ้งในยุคดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการ SMEs

ณัฐพัชญ์: แนวคิดของ Dots Consultancy คือทุกคนมีเครื่องมือเหมือนกันครับ แต่คนที่ไม่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ เกิดขึ้นจาก 1) ขาด Strategic Thinking ซึ่งคือการคิดเชิงกลยุทธ์ ทำให้ไม่สามารถเข้าใจปัญหาของผู้บริโภคอย่างถ่องแท้  2) ขาด Knowhow หรือความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือสื่อสารภายใต้บริบทที่ถูกต้อง 3) ขาด Mindset หรือมุมมองที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการทำธุรกิจ เช่นที่ Dots Consultancy เองเราไม่ได้อยากเป็นโรงเรียนที่สอนการใช้ Facebook แต่เราอยากสอนคุณว่าการตลาดจะเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อโลกนี้มี Facebook และคุณจะปรับตัวไปกับมันอย่างไรต่างหาก

 

ภาพประกอบ: Dots Consultancy

CREATIVE JUICE

ณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง คือนักการตลาดยุคดิจิทัลผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์ต่างๆ มากมาย เคยดำรงตำแหน่ง VP – Head of Online Marketing ให้กับบริษัทโทเทิล แอคเซส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) ปัจจุบันได้ก่อตั้งบริษัท Dots Consultancy ของตนเอง เพื่อให้บริการฝึกอบรมพนักงานองค์กรต่างๆ เกี่ยวกับการตลาดยุคดิจิทัล รวมถึงยังเป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดให้กับลูกค้าเบอร์ใหญ่ๆ อีกจำนวนมาก


ผู้เขียน
สุวิทย์ วงศ์รุจิราวาณิชย์

เป็นเหมือนร้านค้าสร้างสรรค์ที่ชวนให้ใครต่อใครมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตั้งแต่ภูมิปัญญาท้องถิ่นไปจนถึงดีไซน์ในอีกซีกโลก อีกมุมหนึ่งเขาคือคนล่องเรือ เดินเมืองเก่า ที่ไม่เคยหยุดเดินทางเพราะความหลงใหลวิถีชีวิตท้องถิ่น

โทนี่ – ธเนศ จิระเสวกดิลก นักสร้างประสบการณ์ผู้ร่วมก่อตั้ง Divana สปาไทยระดับโลก

15
SHARE

KEY FOCUS

  • ไม่ว่าแบรนด์จะต่อยอดธุรกิจไปเป็นอะไรก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญคือเราต้องรักษา ‘ตัวตน’ ของแบรนด์ไว้ไม่แปรเปลี่ยน
  • ธุรกิจบริการควรจัดทำคู่มือ Service Operation ของตนไว้ให้ชัดเจน ยกตัวอย่างกรณีของ Divana คู่มือของพวกเขาคือสิ่งที่สร้างมาตรฐานให้กับงานบริการทั้งหมด โดยนำประสบการณ์ที่เจ้าของแบรนด์เคยทำงานกับสายการบินสวิสและหัวใจบริการของคนไทยมาประยุกต์ผสมกัน
  • Innovative Longevity Model ของ Divana คือการนำ Macro Trend (เทรนด์ความเปลี่ยนแปลงสำคัญในโลก) และ Micro Behaviour (ไลฟ์สไตล์ย่อยของกลุ่มเป้าหมาย) มาวิเคราะห์ร่วมกัน พร้อมนำ Innovative Solution (นวัตกรรมทางเทคโนโลยี) มาช่วยสร้างโอกาสให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ
  • Business Plan เปรียบเสมือนกับแผนที่ในการเดินทางสร้างธุรกิจ ทำให้เรามองเห็นวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน รู้จักลูกค้า รู้จักคู่แข่ง และนำข้อมูลต่างๆ มาการทำงานได้อย่างเป็นระบบ
  • ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของรัชกาลที่ 9 คือพื้นฐานการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน ซึ่งได้แก่ 1) พึ่งพาตนเอง 2) พึ่งพากันเอง และ 3) รวมกันเป็นกลุ่มอย่างมีพลัง

ความผันแปรของธุรกิจสายการบินหลังเหตุการณ์ 9/11 (ปีพ.ศ.2544) คือปัจจัยที่ทำให้ พัฒนพงศ์ รานุรักษ์ (ตี๋) และ ธเนศ จิระเสวกดิลก (โทนี่) อดีตพนักงานต้อนรับบนสายการบินสวิสแอร์ ตัดสินใจนำองค์ความรู้ด้านระบบบริการของสายการบิน (ที่ในอดีตเคยเป็นที่หนึ่งของโลก) มาประยุกต์ใช้กับความชื่นชอบส่วนตัวในเรื่องการนวดบำบัด เพื่อสร้าง ‘ธุรกิจสปา’ ในยุคแรกๆ ของไทยขึ้นในชื่อ Divana

จากสปาแห่งแรกในบ้านหลังเล็กย่านซอยสุขุมวิท 25 วันนี้คุณโทนี่ – ธเนศ จิระเสวกดิลก จับเข่าคุยกับสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยอย่างออกรส ถึงที่มาของการนำศาสตร์แห่งสัมผัสทั้งห้า (Five Senses) มาสร้างเป็นประสบกาณ์ใหม่ให้ลูกค้าเข้าถึงสัมผัสที่หก (Spiritual Sense) และวันนี้สิ่งที่พวกเขาพยายามทำคือการพาแบรนด์ Divana ก้าวข้ามไปสู่โลกใหม่ที่ผสมผสานศาสตร์การแพทย์ของอนาคต จนเกิดเป็นธุรกิจ Spa Medical Clinic และ Dii: Wellness Med Spa ซึ่งการแตกไลน์ธุรกิจใหม่นี้สองผู้ก่อตั้งได้นำแนวคิดเรื่อง Longevity และ Innovation มาต่อยอดสร้างเอกลักษณ์ให้แบรนด์ รวมไปถึงการเปิด Divana Cafe สองสาขากลางกรุงเทพ ที่ก็นำหัวใจของธุรกิจสปามาสร้างสรรค์เป็นประสบการณ์ใหม่ให้ผู้บริโภคเช่นกัน

เริ่มก้าวเข้าสู่ธุรกิจสปากันได้อย่างไร ย้อนเล่าให้ฟังหน่อยครับ

เอาจริงๆ เลยคือสองเดือนหลังเหตุการณ์ 9/11 มันส่งผลให้สายการบินสวิสปลดพนักงานที่เป็น Non-swiss citizen ออกทั้งหมด ซึ่งตอนนั้นแทนที่เราจะรอโอกาสสมัครงานใหม่ ผมกับคุณตี๋กลับคิดว่าเราน่าจะใช้โอกาสนี้เริ่มต้นทำอะไรของตนเองไปเลย เพราะเรามี mindset เหมือนๆ กัน คืออยากทำธุรกิจที่สร้าง ‘ความสุข’ และ ‘สุขภาพ’ ที่ดีให้กับผู้คน ที่สำคัญคือทุกครั้งที่เกิดวิกฤตผมมักจะมองมันเป็นโอกาสเสมอ จากประสบการณ์ของผมในฐานะลูกเรือ ที่ผมได้สัมผัสระบบบริการชั้นยอดของสายการบินสวิสมา รวมถึงการที่เรามีโอกาสท่องเที่ยวไปตามเมืองต่างๆ ในยุโรป ตอนนั้นมันทำให้เห็นว่า 3 ธุรกิจที่น่าสนใจอย่างมากคือ สปา อาหาร และโรงแรม เพราะเป็นธุรกิจที่สื่อถึงหัวใจของคนไทยเรา และมีความยากที่จะถูก disrupt  เราตัดสินใจเลือกทำธุรกิจสปาก่อน เพราะเห็นช่องว่างและโอกาสในตลาด ที่ยังถือเป็นสิ่งใหม่มากสำหรับคนไทย ณ ตอนนั้น

ความท้าทายของธุรกิจสปาเมื่อ 18 ปีที่แล้วคืออะไรบ้าง

สมัยนั้นธุรกิจสปามีแค่ 2 ขั้วเองครับ หนึ่งคือการนวดไทยแบบดั้งเดิมของวัดโพธิ์ และสองคือสปาในโรงแรมห้าดาว ซึ่งแม้ว่าวัดโพธิ์จะมีศาสตร์การนวดหัตถเวชที่ดีเยี่ยม แต่ประสบการณ์ด้านการบริการก็อาจไม่เต็มร้อยนัก ในขณะที่ของโรงแรมห้าดาวทุกอย่างเนี้ยบกริบ ชนิดที่เดินเข้าไปแล้วเราทำตัวไม่ถูก รู้สึกเกร็ง ไม่ผ่อนคลายกับการใช้บริการ นั่นแหละที่ผมสองคนมองว่าคือความท้าทาย และเป็น big opportunity ที่เรานำมาสร้างธุรกิจสปาในแบบของเราขึ้นได้

ข้อแรกคือเราตั้งเป้าว่าลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการต้องรู้สึกผ่อนคลายกับสถานที่ก่อน สเปซของ Divana ต้องมีบุคลิกคแสนสงบท่ามกลางความวุ่นวายของเมืองใหญ่ เราไปได้บ้านเก่าหนึ่งหลังจากเพื่อนของคุณตี๋ในซอยสุขุมวิท 25 ซึ่งเป็นซอยตัน เหมาะสมกับการทำสปามากที่สุด ข้อสองคือเรานำประสบการณ์ด้านงานบริการที่มีมาตรฐานสูงมากจากสายการบินสวิส และหัวใจรักงานบริการของคนไทย มาสร้างเป็นคู่มือ Service Operation Manual ขึ้นแต่ต้น เพราะเราต้องการให้ธุรกิจนี้มีระบบที่ควบคุมมาตรฐานได้ อยากให้ลูกค้ามาถึงแล้วรู้สึกผ่อนคลาย รู้สึกเป็นธรรมชาติ สบายๆ เหมือนมาบ้านเพื่อน และที่สำคัญคือต้องมีสัมผัสความเป็นคนไทยที่ต่างชาติชื่นชอบด้วย เป็นการสร้างประสบการณ์ผ่านสัมผัสทั้งห้า (Sensory Design) ที่ผสานเข้ากับภูมิปัญญาไทย กลายเป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกในแบรนด์ Divana มาจนทุกวันนี้ครับ

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจบริการนี้ต่อยอดได้

หลังจากเปิดได้ราว 3 เดือนเราก็ได้รับฟีดแบคที่ดีมาก เรียกได้ว่าตั้งแต่วันแรกที่เปิดมาจนถึงวันนี้ ไม่มีวันไหนที่เราไม่มีลูกค้าเลย ในช่วงต้นเราเริ่มขยายสาขาโดยโฟกัสที่ธุรกิจ Day Spa ก่อน จากนั้นพวกผมก็ค่อยๆ เก็บข้อมูล วิเคราะห์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง จนพบว่านอกจากการผ่อนคลายแล้ว ลูกค้าของเราเขาอยากมีสุขภาพที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องไปหาหมอ  Insight ข้อนี้ล่ะคือจุดเริ่มต้นของการแตกไลน์มาสู่ Spa Medical Clinic ที่เราลองนำศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่เข้ามาผสมผสาน ต่อมาความต้องการของลูกค้าก็ไม่ได้หยุดแค่ความแข็งแรงอีก พวกเขาอยากดูดี อยากดูเด็กขึ้น จนทำให้เราสร้างสรรค์ Dii: Wellness Med Spa ขึ้นอีก โดยนำแนวคิดเรื่อง Longevity และ Innovation เข้ามาสร้างจุดขายใหม่

นอกจากนี้เรายังนำหลักการของ Start Up ที่เขาใช้วิธี think big และ test more มาทดลองแนวคิดใหม่ๆ กันทันที เช่นที่ Divana Virtue Spa (ซอยประมวญ) เราก็ทดลองนำศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่เข้าไปผสม นำประสบการณ์ที่เราเคยไปสปาในเมืองบาเดน (สวิสเซอร์แลนด์) มาปรับใช้ด้วย เราเปิดเป็น Spa & Medical Clinic เชิญแพทย์ทางเลือกมาให้บริการลูกค้า มีทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านผิว ด้าน Anti-Aging เราสร้าง Life Laboratory เป็นห้องทดลองเพื่อวิเคราะห์ต้นเหตุของปัญหาสุขภาพ และนำหลักการธรรมชาติเป็นตัว healing เช่นถ้าคนเป็นสิวแล้วมัวไปรักษาที่ปลายเหตุ ผิวหน้าก็อาจจะบางลงเรื่อยๆ แต่ของ Divana ไม่ใช่แบบนั้น ทีมแพทย์ที่ Medical Clinic จะทำการทดสอบต้นตอการเกิดสิวแต่ต้นทาง วิเคราะห์ชั้นผิวหนัง วิเคราะห์ผลเลือด วิเคราะห์การกินอาหาร การดื่ม สุขลักษณะในการนอน ฯลฯ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

ข้อดีของการวิเคราะห์อย่างละเอียดนี้ทำให้เราแก้ปัญหาผิวของลูกค้าได้ตรงจุด แต่ก็อาจมีข้อด้อยที่ระยะเวลาการรักษาที่นานกว่า ใช้งบประมาณค่อนข้างสูง  ซึ่งทีมงานเราก็นำปัญหานี้มาขบคิดต่อ เพราะอยากสร้างโอกาสการรักษาผิวพรรณให้เข้าถึงลูกค้าวงกว้างได้ สุดท้ายเราก็นำศาสตร์ธรรมชาติบำบัดและภูมิปัญญาตะวันออกทดลองมาผสมกับ Medical Technology ใหม่อีก จนเกิดเป็นอีกธุรกิจหนึ่งขึ้นมาคือ Dii (Divana Integration Innovation) โดยเปิดสาขาแรกที่ Central Embassy ครับ

ถือว่าคุณตามเทรนด์การเปิดสปาในห้างสรรพสินค้าไหม

การเปิด Dii ใน Central Embassy ไม่ได้เป็นโจทย์ที่ง่ายเลยนะครับ เพราะที่ผ่านมาเรานำธรรมชาติมาเป็นส่วนสำคัญในการสร้างประสบการณ์ ทั้งงานออกแบบอาคาร ภูมิสถาปัตย์ พื้นที่ใช้สอยต่างๆ  แต่การมาเปิดในห้างสรรพสินค้ามันต่างไป มันเป็นโจทย์ที่ท้าทายมาก เพราะเราไม่สามารถนำธรรมชาติเข้าไปอยู่ในพื้นที่แค่ 200 ตารางเมตรได้ เป้าหมายใหม่ของเราจึงต้องทำให้พื้นที่นั้นมี Wow Factor ขึ้นมาทดแทน และต้องเป็น One of a Kind ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ งานออกแบบที่คุณเห็นจึงสะท้อนความเป็นนวัตกรรมที่เป็นหัวใจของ Dii เราใส่เทคโนโลยีเข้าไปช่วยเยอะเลย ตั้งใจอยากให้ลูกค้ารู้สึกเหมือน ‘หลุดเข้าไปอีกโลก’ ตั้งแต่ก้าวแรกเลยน่ะครับ

กับ Divana Café ล่ะ ทำไมพวกคุณถึงคิดจะทำสิ่งนี้

เพราะเราอยากนำ Innovative Longevity Model มาตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละเจเนอเรชั่นให้ครอบคลุมที่สุดไงฮะ การตอบโจทย์แนวนอนคือการขยายรูปแบบธุรกิจ ส่วนในแนวตั้งคือการขยายไลน์สาขาออกไป โมเดลนี้ของเราจริงๆ มาจากการวิเคราะห์ 3 ปัจจัยหลักๆ อย่างต่อเนื่อง นั่นก็คือ

1) Macro Trend  เราวิเคราะห์เทรนด์ในอนาคตอีก 5 – 10 ปีข้างหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นในโลกบ้าง พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนไปยังไง สังคมมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น จะมีเทคโนโลยีอะไรใหม่เข้ามา เมืองใหญ่จะเติบโตขึ้นอย่างไรบ้าง ฯลฯ ที่แน่ๆ เราเห็นว่าการท่องเที่ยวจะกลายเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตมาก โดยมีเทรนด์การท่องเที่ยวแบบ Wellness เข้ามาเพิ่ม เหล่านี้คือสิ่งที่จะสร้าง demand ใหม่ๆ ที่สำคัญต่อการขยายธุรกิจครับ

2) Micro Behaviour  เราต้องมองกลุ่มเป้าหมายของเราให้หลากหลายขึ้น เช่นกลุ่ม Metro Sexual, Senior Citizen, Woman Entrepreneur, Urbanista, Nomophobia (กลุ่มคนที่ขาดสมาร์ทโฟนไม่ได้) หน้าที่ของเราคือการศึกษาพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์การบริโภคของเขา เราทำลงไปถึง journey map ในชีวิตประจำวันของเขาเลย แล้วก็นำข้อมูลพวกนี้มาสร้างรูปแบบบริการใหม่ๆ ที่เข้าไปตอบโจทย์ ไปแนะนำแบรนด์ให้กับเขา

3) Innovative Solution ส่วนนี้คือการนำนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีรวมถึงการออกแบบบริการมาสร้างประสบการณ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย  แนวคิดนี้ทำให้ Divana ต้องมีรูปแบบธุรกิจที่หลากหลาย และมีผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง ตอนนี้เรามีผลิตภัณฑ์แบรนด์ Divana และ Dii Skin Care ส่วนในอนาคตก็อาจมีผลิตภัณฑ์อาหาเสริม (supplement) อื่นๆ ตามมา  รวมถึง Divana Cafe นี่ก็คือการนำหัวใจของงาน Wellness มาออกแบบประสบการณ์อีกรูปแบบ ใช้ Sensory Design ที่เราถนัดมาประยุกต์ เช่นการนำดอกไม้ที่เป็น Core Concept มาตกแต่งในพื้นที่ ชาที่เสิร์ฟก็มาจากซีรีย์ของผลิตภัณฑ์เรา เช่นกลิ่น Jasmine กลิ่น Mango กลิ่น Queen of the Night กลิ่น Rose ฯลฯ แม้กระทั่งองค์ประกอบการจัดเซ็ท Afternoon Tea เราก็ตั้งใจออกแบบให้ลูกค้าเจเนอเรชั่นใหม่ๆ ร้องว้าว คือมาแล้วต้องถ่ายรูป ต้องเช็คอิน ต้องแชร์ในโซเชียมีเดีย เป็นการส่งต่อแบรนด์เราไปยัง follower ของเขาด้วย

“ไม่ว่าเราจะต่อยอดธุรกิจไปเป็นอะไรก็ตาม ธุรกิจนั้นต้องคงอัตลักษณ์ดั้งเดิมไว้เสมอ Divana เราทำธุรกิจแค่สองสี คือสีเขียว = ธรรมชาติ และสีขาว = สุขภาพ”
ความสำคัญของ Business Plan ในมุมมมองของคุณ

Business Plan เปรียบเสมือนแผนที่ในการทำธุรกิจครับ ถ้าเรารู้ว่าวิสัยทัศน์หรือเป้าหมายเราอยู่ที่ไหน เราก็จะออกแบบเส้นทางหรือพันธกิจเพื่อไปยังเป้าหมายนั้นได้ นอกจากนี้การทำ Business Plan อย่างละเอียดยังเปิดมุมมองให้เราเห็นภาพรวมของธุรกิจที่เราทำอยู่ มองเห็นกลุ่มเป้าหมาย เห็นเครื่องมือที่จะทำความเข้าใจลูกค้า เห็นการแข่งขันที่รออยู่ ซึ่งเราควรทำทั้งแผนระยะยาว 5 – 10 ปี และแผนการตลาดระยะสั้นควบคู่กันไปนะครับ ทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การวาง Brand Positioning ที่แม่นยำขึ้น ทำให้แบรนด์สร้างคุณค่าและมูลค่าได้มากขึ้น

“เรามีแผนระยะยาวที่จะสร้าง Valley of Wellness ขึ้นในเมืองไทยด้วย คล้ายๆ กับเป็น Silicon Valley ของอุตสาหกรรมนี้ เป็นศูนย์กลางบ่มเพาะ startup รุ่นใหม่ สร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยว เป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่ครบวงจรที่สุดให้ทุกคนเข้ามาสัมผัสได้”
คุณเชื่อใน Gut Feeling มากน้อยแค่ไหน

สำหรับผม Gut Feeling คือประสบการณ์ที่เราทุกคนสั่งสมมา อาจจะตั้งแต่ก่อนเกิดด้วยซ้ำนะ ผ่านมาทางดีเอ็นเอของพ่อแม่ ทางการเลี้ยงดูวัยเด็ก ฯลฯ (หัวเราะ)  ผมเชื่อนะว่า Gut Feeling จะเข้ามาตอบปัญหาในจุดที่เราไม่แน่ใจ ซึ่งส่วนใหญ่ความรู้สึกแว้บแรกที่เข้ามาในหัวเรามักจะถูกต้อง (หัวเราะ) แต่มันจะใช้ได้แม่นยำมากขึ้นกับสิ่งที่เราคุ้นเคย แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เราไม่คุ้นเคย ผมว่าเราต้องศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมาเป็นองค์ประกอบการตัดสินใจด้วย

ฝากแนวคิดให้นักการตลาดรุ่นน้อง

ผมว่าพวกเราโชคดีมากที่เกิดในประเทศไทยครับ เรามีภูมิปัญญาและองค์ความรู้ที่เป็นมรดกตกทอดมามากมาย ทั้งทรัพย์ในดินสินในน้ำก็พร้อมพรั่ง และเราเกิดมาพร้อมกับดีเอ็นเอเรื่อง service mind อยู่แล้ว นอกจากนั้น เรายังได้รู้จักกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ผมเชื่อว่านำมาปรับใช้กับโลกการตลาดที่แข่งขันสูงได้จริง  โดยหลักการสำคัญที่ผมนำมาใช้กับธุรกิจแล้วพิสูจน์ความยั่งยืนได้ ก็คือ

  1. พึ่งพาตนเอง หมายถึงก่อนที่เราจะลงมือทำธุรกิจใด เราต้องเรียนรู้ให้แก่นหรือหัวใจของธุรกิจนั้นเสียก่อน เช่น ธุรกิจสปาของ Divana เรามีแก่นอยู่สามเรื่องคือ ‘บุคลากร’ ทำให้เราต้องมีสถาบัน Divana Academy เพื่อผลิตบุคลากรใหม่ๆ ป้อนให้กับอุตสาหกรรมสปา สองคือ ‘ระบบงานบริการ’ ที่ต้องมีมาตรฐานและตรวจสอบได้ สามคือ ‘ผลิตภัณฑ์’ ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของเราให้ลูกค้าติดมือกลับบ้านไปเป็น reminder ด้ว
  2. พึ่งพากันเอง ข้อนี้คือการให้ความสำคัญกับ ecosystem ของทั้งธุรกิจ ให้ความสำคัญกับ supply chain ทั้งหมด โดยใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารเพื่อให้ทุกคนใน ecosystem นี้อยู่รอดอย่างเป็นธรรม ตั้งแต่เกษตรกรที่ปลูกพืชสมุนไพร โรงงานผลิตแปรรูป บริษัทงานโลจิสติกส์ งานการตลาด ฯลฯ เพราะหัวใจคือเราต้องเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืนครับ
  3. รวมกันเป็นกลุ่มอย่างมีพลัง  เพราะการจะอยู่รอดโดยลำพังในโลกนี้มันไม่ง่ายครับ ดังนั้นการรวมพลังของกลุ่มธุรกิจสปาที่ต่างคนต่างมีกลุ่มลูกค้าของตนเองจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้ประเทศไทยเราเติบโตเป็นศูนย์กลางสปาของโลกได้ เป็นจุดหมายปลายทางของ Wellness Tourism ที่ผู้คนเดินทางมาตามหารอยยิ้มและงานบริการแบบ Thainess แท้ๆ

 

ภาพประกอบ: ศรัณย์ แสงน้ำเพชร

CREATIVE JUICE

  • สปาที่เมืองบาเดน (Baden) สวิสเซอร์แลนด์ คือความประทับใจที่ทำให้คุณโทนี่และคุณตี๋อยากทำธุรกิจของตัวเอง เพราะพวกเขาได้สัมผัสกับรูปแบบการทำสปาที่หลากหลายในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ทั้งศาสตร์จากเมืองจีน อินเดีย ยุโรป พร้อมมีแพทย์ที่คอยให้คำแนะนำปรึกษาอย่างดี
  • แบรนด์ที่เป็นไอคอนิกในใจของคุณโทนี่คือ La Prairie ผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงของสวิส
  • คุณโทนี่ชื่นชมความเป็นไทย (Thainess) ที่เรามีทักษะในการผสมผสานวัตถุดิบต่างๆ นานาจนเกิดเป็นอัตลักษณ์ของตน (Blending Skill) ยกตัวอย่างเช่น ผัดไทยที่ใช้วัตถุดิบส่วนใหญ่จากเมืองจีน ไม่ว่าจะเป็นเส้น เต้าหู้ ไชโป้ว แต่คนไทยเราแค่นำน้ำมะขามมาปรุงเพิ่ม ทำให้เกิดรสชาติกลมกล่อม นำมาทานคู่กับหัวปลี จัดวางบนใบตอง ฯลฯ กลายเป็นเมนูอาหารไทยที่ดังไกลไปทั่วโลก
รูปเพิ่มเติม

ผู้เขียน
สุวิทย์ วงศ์รุจิราวาณิชย์

เป็นเหมือนร้านค้าสร้างสรรค์ที่ชวนให้ใครต่อใครมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตั้งแต่ภูมิปัญญาท้องถิ่นไปจนถึงดีไซน์ในอีกซีกโลก อีกมุมหนึ่งเขาคือคนล่องเรือ เดินเมืองเก่า ที่ไม่เคยหยุดเดินทางเพราะความหลงใหลวิถีชีวิตท้องถิ่น

“เพราะ Consumer Insights กับ Visual Trends แปรผันตามกันเสมอ” สนทนากับ Yuri Endo และ Paul Foster สองมันสมองแห่ง Getty Images

SHARE

KEY FOCUS

  • ไดนามิกในเรื่องวัฒนธรรม ประชากรศาสตร์ สิ่งแวดล้อม ล้วนส่งผลต่อทัศนคติความชื่นชอบใน ‘ภาพ’ ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เอเจนซี่ภาพรวมถึงนักการตลาดจำเป็นต้องรู้ถึงวิถีการเลือกใช้ภาพที่ตรงใจ และตอบโจทย์ใหม่ๆ เสมอ
  • สามบุคลิกและเทรนด์ของภาพที่จะมาแรงที่สุดในอนาคตอันใกล้นี้คือ Authenticity, Inclusivity และ Sustainability

Getty Images พูดถึงการใช้ Creative Insights เป็นแพลทฟอร์มในการวิเคราะห์ ‘เทรนด์ภาพ’ ของตลาดอนาคต คุณช่วยอธิบายถึงแนวคิดนี้หน่อย
Foster: “ใช่ครับ ที่ Getty Images เราเป็นเอเจนซี่เดียวในโลกที่มีแผนก Creative Insights ทำงานวิเคราะห์เทรนด์การใช้ภาพกันแบบต่อเนื่องตลอดเวลา เราเรียกพวกเขาว่าทีม Creative Researcher ที่ต้องคอยนำเสนอบทเคราะห์และอัพเดทความสนใจด้านภาพใหม่ๆ ของผู้บริโภคมาให้ทีมงานฝ่ายผลิตและช่างภาพของเราทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมสะท้อนถึงความต้องการ ‘ใช้ภาพ’ ของแบรนด์ต่างๆ ในทิศทางที่สอดคล้องกัน”

Endo: “ในกระบวนการค้นหาวิเคราะห์ inisight นี้ ทีมงานของเราจะใช้ big data จากแหล่งต่างๆ มาทำงานร่วมกัน ทั้งข้อมูลการเสิร์ชหาภาพบนแพลทฟอร์มของเราเอง ข้อมูลการซื้อภาพของลูกค้ากลุ่มต่างๆ ที่ผ่านมา รวมถึงวิธีการอื่นๆ ซึ่งข้อมูลเป็นล้านๆ ที่เราเก็บได้ในทุกๆ วันก็จะถูกนำมาวิเคราะห์ร่วมกัน เพื่อระบุถึงความเปลี่ยนแปลง ลักษณะความสนใจ และแนวทางการใช้ภาพประกอบในโลกของการสื่อสาร ไม่ว่าจะในบริบทของการทำงานโฆษณา การสื่อสารแบรนด์ ฯลฯ ไดนามิกของผู้คนในโลกเราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ครับ ประเด็นเรื่องวัฒนธรรม ประชากรศาสตร์ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ล้วนส่งผลต่อทัศนคติความชื่นชอบใน ‘ภาพ’ ของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ช่างภาพของเราต้องพัฒนาสไตล์การทำงานอยู่ตลอด ซึ่งการจะทำธุรกิจในฐานะเอเจนซี่ขายภาพให้เติบโตนั้น ทีมงานของเราต้องให้โจทย์การผลิตภาพลักษณะใหม่ๆ กับช่างภาพอย่างแม่นยำ รวมถึงแนะนำการออกแบบ mood & tone ให้ตรงใจตลาดอยู่เสมอ”

**สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาข้อมูล Visual Trend Analysis ของ Getty Images สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์ (หัวข้อ Creative Insights)

Visual Trends หลักๆ ตอนนี้มีเรื่องอะไรบ้างที่ต้องจับตา
Endo: “สองเทรนด์หลักที่เราสังเกตได้ชัดที่สุดคือเรื่อง ‘Inclusivity’ และ ‘Sustainability’ ค่ะ มันเป็นหัวข้อที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตลอดระยะเวลาหนึ่งทศวรรษที่เราเก็บข้อมูลมา คำว่า Inclusivity ในที่นี่เราหมายถึงภาพความหลากหลายของมนุษย์ ในทุกเชื้อชาติ ทุกเพศทุกวัย ทุกเพศสภาพ ทุกสถานะสังคม ทุกสภาวะร่างกาย ฯลฯ ในขณะที่ Sustainability นั้นหมายรวมถึงความยั่งยืนในทุกๆ แง่มุม ทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อม ไลฟ์สไตล์ อาหารการกิน การอยู่อาศัย ฯลฯ”

Foster: “ส่วนในเรื่องบุคลิกของภาพ มู้ดแอนด์โทน ภาพรวมที่ผู้คนสมัยนี้ชื่นชอบเป็นพิเศษคือความ ‘Authentic’ ซึ่งหมายความว่าภาพที่โน้มน้าวใจคนยุคนี้ได้จะต้องสื่อถึงความแท้ ความไม่ปรุงแต่ง ยกตัวอย่างเช่นภาพของคนธรรมดาๆ ในบริบทชีวิตธรรมดาๆ ที่มันดูงดงามเป็นธรรมชาติ มีมิติลุ่มลึกทางอารมณ์ คือยิ่งดิบยิ่งจริงเท่าไรยิ่งดีเท่านั้นครับ ยกตัวอย่างภาพจากมุมมองของคนถ่ายที่ ‘จับโมเมนท์’ กันแบบสดๆ  ไม่ต้องมาดีไซน์องค์ประกอบอะไรมากมายเหมือนการถ่ายภาพโฆษณา เราเรียกภาพสไตล์นี้ว่า ‘Mobilesque’ เพราะมันได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมการถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟนโดยตรง

Mobilesque’ คือสไตล์ภาพที่เราทุกคนเข้าถึงง่ายและชอบแชร์ต่อ ยอดขายของภาพสไตล์นี้พุ่งทะยานขึ้นมหาศาลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา”

เทรนด์ภาพเหล่านี้มีความเชื่อมโยงอย่างไรกับการสร้างแบรนด์และธุรกิจ
Foster: ผมเชื่อว่านักการตลาดและเจ้าของแบรนด์ย่อมต้องการสร้างงานที่ตอบสนองต่อทัศนคติของสังคมถูกไหมครับ อย่างในประเด็นเรื่อง Inclusivity นี้คือถ้าแบรนด์ของคุณไม่พยายามสื่อสารว่าคุณพร้อมจะเชื่อมโยงและเป็นตัวแทนของคนทุกหมู่เหล่า ซึ่งบางทีอาจจะลงลึกไปถึงกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มผู้พิการ ผู้เฒ่าผู้แก่ หรือกระทั่งกลุ่มวัฒนธรรมย่อยต่างๆ แบรนด์ของคุณก็อาจจะถูกมองว่าหัวเก่า ตกเทรนด์ หรือเป็นพวกเลือกปฏิบัติ (discriminated) ได้นะ เพราะคุณกำลังสื่อสารว่าคุณไม่รับรู้หรือไม่เคารพต่อค่านิยมใหม่ที่สังคมกำลังให้ความสำคัญ คนรุ่นใหม่จะมองว่าแบรนด์คุณไม่เรียล และไม่สะท้อนภาพที่เป็นจริงของสังคม ซึ่งมันกำลังเป็น ‘คุณค่าใหม่’ ที่เขามองหาจากแบรนด์ในโลกยุคนี้

“Authenticity คือการสะท้อนภาพความเป็นจริงในโลกและสังคม ซึ่งกำลังเป็นคุณค่าใหม่ที่ผู้บริโภคมองหา”

Endo:  “นอกจากนั้นข้อสังเกตที่เราพบคือผู้บริโภคจะตอบสนองดีมากกับแบรนด์ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ค่านิยม ความคิดอ่าน และการกระทำของแบรนด์นั้นๆ ดำเนินไปในทิศทางเดียวกันอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่การสร้างภาพหลอกว่ามีวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืน แต่จริงๆ แล้วทำทุกอย่างไปเพื่อผลกำไรเท่านั้น นักการตลาดจะต้องสื่อสารให้ผู้บริโภคสัมผัสได้ถึง ‘ความมุ่งหมาย’ หรือ ‘เหตุผล’ ที่แบรนด์ควรจะคงอยู่ต่อไปในชีวิตของพวกเขาต่อไป ทุกวันนี้การมอบสินค้าหรือบริการที่คุ้มค่าเงินนั้นไม่ได้ตอบโจทย์ทั้งหมดแล้ว แบรนด์ต่างๆ จำเป็นต้องมีบทบาทที่ดีต่อโลกและชุมชน และต้องนำเสนอภาพเหล่านั้นให้คนคล้อยตามเชื่อถือให้ได้”

พวกคุณทำงานกับช่างภาพทั่วโลกอย่างไร เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์หรือภาพที่ตรงใจตลาด
Foster:  “Getty Images มีช่างภาพกว่า 200,000 คนทั่วโลกที่ทำงานกับเรา โดยราวๆ 100,000 คนในนั้นเป็นช่างภาพที่ทำงานกับเราแบบเอ็กคลูซีฟด้วย (คือไม่ทำให้กับเอเจนซี่อื่นๆ) วิธีการทำงานของเราคือเราต้องให้บรีฟกับช่างภาพเหล่านี้แบบเฉพาะเจาะจง คุยกันตัวต่อตัวบ้าง ผ่านฟอรั่มบ้าง หลายครั้งก็บรีฟกันผ่านเว็บไซต์ภายใน หรือแอพลิเคชั่นที่เราพัฒนาขึ้นเอง เพื่อที่พวกเขาจะได้ทำการบ้านกลับมาได้ถูกต้อง ผลิตผลงานที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้จริงๆ  ปัจจุบันทีม Art Director ซึ่งเป็นผู้ให้โจทย์ของเราก็นั่งทำงานกันในหลายซีกโลกครับ ส่วนมากอยู่ในยุโรปและอเมริกา แต่ถ้าในเอเชียตอนนี้ก็มีที่ฮ่องกงและโตเกียวสองแห่ง”

และสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการผลิตภาพที่เฉพาะเจาะจงขึ้นเป็นพิเศษ ทาง Getty Images เราก็สามารถทำให้ได้นะครับ โดยเราจะพัฒนาบรีฟอย่างละเอียดร่วมกับลูกค้าก่อน จากนั้นก็ให้การบ้านกับช่างภาพของเราไปผลิตผลงานออกมา โดยบรีฟของเราจะลงลึกถึงสไตล์ภาพ อารมณ์ภาพ และอาร์ตไดเร็กชั่นที่แบรนด์นั้นๆ ต้องการครับ”

อะไรทำให้นักการตลาดเชื่อถือการวิเคราะห์เทรนด์ภาพของ Getty Images มีกรณีศึกษาอะไรที่พิสูจน์ความแม่นยำของพวกคุณบ้าง
Endo  “ทุกวันนี้งานวิจัยของธุรกิจ FMCG อย่าง Unilever ก็เผยว่า 33% ของผู้บริโภคทั่วโลกระบุว่า ประเด็นเรื่องความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือความรับผิดชอบต่อสังคมนั้นมีผลต่อการตัดสินใจเลือกแบรนด์ที่พวกเขาจริงๆ  ธุรกิจจำนวนมากเริ่มเล็งเห็นถึงคุณประโยชน์ของการสร้างกิจกรรมการตลาดที่เกี่ยวข้องกับประเด็นความยั่งยืนนี้ ยกตัวอย่างเช่นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เทรนด์เรื่องการลดปริมาณ carbon footprint หรือ train travel ก็กำลังมาแรงสุดๆ ส่วนในอุตสาหกรรมแฟชั่นก็มีแบรนด์อย่าง Stella McCartney ที่ทำเรื่องนี้ได้ดีจนผู้คนเชื่อมั่น จากฐานข้อมูลของเรามีการเสิร์ชคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับ Sustainability เพิ่มขึ้นเยอะมาก”


กับหัวข้อเรื่อง Inclusivity ล่ะ ในอนาคตแบรนด์ต่างๆ น่าจะนำเสนอภาพมาสู่ผู้บริโภคในลักษณะไหน
Endo:  “พูดรวมๆ คือภาพที่สื่อถึงทัศนคติและการกระทำของแบรนด์ที่เปิดรับต่อความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์ค่ะ เช่นหัวข้อภาพที่ส่งเสริมเรื่องสิทธิเสรีภาพ เรื่องความเท่าเทียม และการให้โอกาสการใช้ชีวิตของผู้คนอย่างเต็มศักยภาพ ในบริบทของโลกความจริงด้วยนะ ไม่ใช่โลกที่ปรุงแต่งขึ้นมา”

“ทุกวันนี้ภาพโฆษณาที่ยกย่องพลังความมุ่งมั่นของผู้หญิง ความกล้าที่จะก้าวข้ามอุปสรรคของผู้พิการ การให้พื้นที่กับชนกลุ่มย่อยในสังคม ความมุ่งมั่นกล้าหาญของมนุษย์ หรือการตีความ ‘ความเจ๋ง’ และ ‘ความแมน’ ของผู้ชายในมิติที่หลากหลาย  ภาพพวกนี้คือตัวอย่างของเทรนด์ที่มาแรงมาก

และอีกหนึ่งเทรนด์ย่อยที่น่าสนใจมากคือภาพความเชื่อมโยงของแบรนด์กับผู้บริโภคเชื้อสายเอเชีย (Asian-centric) ที่ทุกวันนี้กำลังเป็นเหมือนสิ่งหอมหวานของแบรนด์ต่างๆ สังเกตว่าแต่ก่อนในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด หรือซีรีย์ที่ใช้ภาษาอังกฤษ นักแสดงเอเชียจะถูกจัดให้รับบทรองๆ อยู่ตลอด ไม่เคยเป็นพระเอกนางเอกเต็มตัว แต่ปัจจุบันตลาดใหม่ได้เกิดขึ้นอย่างชัดเจนในอุตสาหกรรมบันเทิง เรามีนักแสดงนำที่เป็นชาวเอเชียมากขึ้น บางเรื่องมีพล็อตที่นำเสนอค่านิยมและความคิดอ่านแบบเอเชียนอย่างชัดเจน ซึ่งก็ได้รับฟีดแบคที่ดีจากสังคมวงกว้าง ทั้งในมุมของการสร้างสรรค์เนื้อหาที่แปลกใหม่ รวมถึงตัวเลขธุรกิจที่สะท้อนกลับมาก็สวยงามด้วย

“หลายๆ แบรนด์ในโลกรู้แล้วว่าถ้าพวกเขาต้องการขยายตลาดให้ใหญ่ขึ้น และยังต้องการอยู่ในสปอตไลท์ของการบริโภคในอนาคต พวกเขาจะต้องสร้างเนื้อหาที่สะท้อนถึงความเข้าใจต่อผู้บริโภคชาวเอเชียให้ได้อย่างเฉียบคม”

ทุกวันนี้งานของ Getty Images ช่วยสนับสนุนนักการตลาดได้ในแง่มุมไหนบ้าง
Foster:  “ผมมองว่าเราแสดงบทบาทสำคัญได้ในสามส่วนหลักๆ ครับ หนึ่งคือการเป็นแพลทฟอร์มของผู้ผลิตภาพถ่ายที่จะตอบโจทย์การตลาดและค่านิยมของสังคมได้อย่างทันท่วงที สามารถช่วยให้แบรนด์ของลูกค้าสร้างจุดยืนที่แตกต่าง ผูกใจผู้บริโภค และมอบภาพลักษณ์เชิงบวกอันนำไปสู่การเติบโตของแบรนด์ได้ในระยะยาวได้  ส่วนที่สองคือเรามีฐานข้อมูล และ insights ด้านเทรนด์ภาพที่ชี้นำจากความสนใจของตลาดจริง ตัวเลขสถิติและบทวิเคราะห์ของเราเปิดให้นักการตลาดเข้ามาศึกษาติดตามกันได้ตลอดเวลา ส่วนที่สามคือเราสามารถให้คำปรึกษากับลูกค้าถึงการเลือกใช้ภาพให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดตามแต่บริบท หรือโจทย์ที่เฉพาะเจาะจงได้  ที่สำคัญเราทำงานตอบสนองให้กับธุรกิจทุกไซส์ ตั้งแต่บริษัทสตาร์ทอัพเล็กๆ ไปจนกระทั่งแบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก ผมยืนยันว่าทุกคนสามารถเป็นลูกค้าที่เคารพของ Getty Images ได้ครับ”

เครดิตภาพและวิดีโอ: Getty Images, Lynx, Crazy Rich Asians

SECRET SAUCE:

สำหรับผู้ที่สนใจติดตาม Visual Trends ใหม่ๆ ในโลกงานสร้างสรรค์  เว็บไซต์หลักของ Getty Images เพิ่งปรับปรุงใหม่ให้มีฟังก์ชั่นที่เป็นมิตรกับผู้ใช้มากยิ่งขึ้น คุณสามารถเสิร์ชดูภาพที่สนใจได้อย่างง่ายดาย และสามารถเข้าไปอ่านบทวิเคราะห์เทรนด์ต่างๆ ได้ในหน้า Creative Insights ของพวกเขา ซึ่งมีอัพเดทใหม่กันทุกสัปดาห์

รูปเพิ่มเติม

ผู้เขียน
วิสาข์ สอตระกูล

อดีตนักโฆษณาที่ผันตัวมาเป็นนักเล่าเรื่อง นักเขียน และบรรณาธิการบทความด้านธุรกิจสร้างสรรค์ งานออกแบบ และวัฒนธรรมเมือง อย่างมีความสุข

สนทนากับ จารุพัชร อาชวะสมิต ว่าด้วยการแร่แปรธาตุกับนวัตกรรมสิ่งทอแนวดิ่ง AUSARA SURFACE

SHARE

KEY FOCUS

  • Ausara Surface คือแบรนด์ผ้าทอจากเส้นใยโลหะ ที่มองหาช่องว่างทางการตลาดด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรมซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน
  • เนื่องจากเป็นแบรนด์ไซส์เล็กที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งจึงเลือกลงทุนเฉพาะส่วนที่จำเป็น อาทิ ไม่ลงทุนซื้อเครื่องจักรเอง ทำการตลาดด้วยแคตตาล็อกตัวอย่างที่ส่งให้นักออกแบบโดยตรง แทนการไปออกงานแฟร์หรือลงโฆษณาที่ค่าใช้จ่ายสูง
  • ดำเนินธุรกิจบนความรู้และความชำนาญเฉพาะทางอย่างแท้จริง พร้อมป้องกันการลอกเลียนด้วยการแยกส่วนผลิต

ในโลกการตลาดตั้งแต่ยุคดั้งเดิม “4Ps” ที่เราทุกคนคุ้นเคยกันดีก็คือ ผลิตภัณฑ์ (Product) ราคา (Price) ช่องทางการจำหน่าย (Place) และการส่งเสริมการขาย (Promotion) ซึ่งแม้ทุกวันนี้อาจจะถูกตีความใหม่หรือต่อยอดออกไปอีกหลายเลเยอร์ แต่ท้ายที่สุดแล้วนี่ก็คือหลักการตลาดขั้นพื้นฐานที่นำไปสู่การกำหนดกลยุทธ์ให้กับแบรนด์ทุกประเภท

อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึงคำว่า “การตลาด” คนส่วนใหญ่มักจะนึกไปถึงกลยุทธ์การจัดการกับ P แค่ 2 ตัว นั่นก็คือการส่งเสริมการขาย (Promotion) และการกำหนดราคา (Price) อาจจะด้วยว่าในตลาดบริโภคทุกวันนี้มันแทบจะไม่มีช่องว่างให้กับสินค้าหรือบริการที่สร้างความ ‘แตกต่าง’ ได้อย่างมีนัยสำคัญอีกต่อไปแล้ว ทั้งที่จริงๆ หากนักการตลาดแบรนด์ไหนวางกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ได้แบบเหนือชั้น (และเหนือความคาดหมายของผู้บริโภค) คุณก็แทบจะลอยลำสู่ความสำเร็จได้โดยไม่ต้องขับเคี่ยวกับ 3Ps ที่เหลือจนเลือดตาแทบกระเด็น

Ausara Surface แบรนด์สัญชาติไทยแท้ผู้ผลิตนวัตกรรมผ้าทอด้วยเส้นใยโลหะคือบทพิสูจน์ความสำคัญของ P ตัวแรกที่ชัดเจนที่สุด แบรนด์เล็กๆ นี้สร้างสรรค์โดยสองผู้ประกอบการไทยคือ โชษณ ธาตวากร Managing Director ผู้รับหน้าที่หัวหอกด้านการบริหารธุรกิจ และ จารุพัชร อาชวะสมิต Creative Director ผู้ดูแลการออกแบบและผลิตควบคู่ไปกับการเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาศิลปอุตสาหกรรมที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง  คนคู่นี้พานวัตกรรมผ้าทอโลหะก้าวขึ้นสู่สปอตไลท์ของเวทีการออกแบบโลกได้ในเวลาเพียง 4 ปี และได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม นับตั้งแต่โรงแรมเครือหรูอย่าง Aman ไปจนถึงแฟลกชิปสโตร์ของ Louis Vuitton  พวกเขาทำอะไรกับ 4Ps ใน 4 ปีนี้แรกของธุรกิจบ้างจึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างยิ่ง

ผ้าทอแนวดิ่ง นวัตกรรมที่เติมเต็มช่องว่างในตลาดและความสะใจส่วนตัว

Ausara Surface มองเห็นช่องว่างในตลาดที่เกี่ยวพันกับเทคนิคการทอผ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้าที่ใช้เพื่อการตกแต่งอย่าง ‘ผ้าบุ’ (upholstery) ที่ยังคงจำกัดอยู่ที่การทอแบบแนวนอนเป็นส่วนใหญ่ ลองสังเกตสิว่าในท้องตลาดเราแทบไม่เคยพบผ้าที่ทอในแนวดิ่ง (vertical textile) ซึ่งเป็นผ้าสำหรับการโชว์แขวน การทำพาแนลผนัง (wall panel) ซึ่ง Ausara Surface ได้ลองบุกเบิกการทอวัสดุประเภทนี้ขึ้นใหม่เพื่อเป็นทางเลือกให้กับตลาดที่มองหาความแตกต่างโดยเฉพาะ “เริ่มจากการที่เราอยากทำอะไรที่ตอบโจทย์แพชชั่นภายในที่รุนแรงของตัวเอง คือทำแล้วรู้สึกสะใจ นั่นคือการเลิกทอผ้าฝ้าย ผ้าไหม แล้วหันมาเลือกใช้วัสดุอย่างโลหะหรือแร่ธาตุ ซึ่งไม่เคยมีใครใช้ทอผ้าในเชิงอุตสาหกรรมมาก่อน”

โลหะเป็นวัสดุที่ท้าทายมาก มีคุณสมบัติที่สามารถดึงเป็นเส้นใย และนำมาทอดัดเป็นทรงอะไรก็ได้ จึงเหมาะกับการทำงานประติมากรรมและการทอแนวดิ่งตามที่เราตั้งเป้าไว้

“พวกเราเริ่มจากทองแดงเป็นวัสดุแรก เนื่องจากทำงานง่ายกว่าโลหะชนิดอื่น ในช่วงที่เราเริ่ม (ปีพ.ศ.2559) อุตสาหกรรมสิ่งทออยู่ในขาลง บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเครื่องกีฬาย้ายฐานการผลิต ทำให้กี่ทอผ้าในโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งไม่ได้ทำงานเต็มศักยภาพ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาจะทำงานกัน 24 ชั่วโมง ไม่มีเวลาเหลือให้เราได้เข้าไปทำงานหรอก ตอนนั้นจึงเป็นโอกาสที่เราได้พบกับโรงงานยินดีที่ทดลองทำสิ่งใหม่กับเรา งาน R&D ของเราเริ่มตั้งแต่การเลือกชนิดของโลหะให้วิศวกรของโรงงานทดลองดึงเป็นเส้นใย ปรับแต่งกี่ทอผ้าเพื่อให้รองรับการทอโลหะได้ ฯลฯ ขณะนั้นเราเริ่มตระหนักแล้วว่าเรากำลังสร้างนวัตกรรมที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในโลก จากทองแดงก็คืบคลานมาสู่ดีบุก ทองเหลือง สเตนเลส ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะตอบโจทย์ความสะใจส่วนตัวแล้ว มันยังตอบความต้องการของตลาดงานตกแต่งระดับหรูได้ ทำให้การตั้งราคาขายอยู่ในอำนาจของเรา” 

จำกัดต้นทุน กำจัดค่าใช้จ่ายเกินจำเป็น

แม้จะเป็นผู้คิดค้นและสร้างสรรค์นวัตกรรมผ้าทอเส้นใยโลหะแนวดิ่งที่เรียกว่า “ไร้คู่แข่ง” แต่ Ausara Surface กลับไม่ได้เริ่มต้นด้วยการลงทุนอย่างใหญ่โตสวยหรู  “พวกเราเริ่มต้นด้วยเงินทุนเพียงหลักแสนเท่านั้น เพราะเราคุยกันอย่างละเอียดเลยว่าต้นทุนส่วนไหนที่ยังไม่ควรลงก็จะไม่ลง เช่นเราจะไม่มีโชว์รูม เราจะ(ยัง)ไม่ออกงานแฟร์ เราจะใช้วิธีทำแคตตาล็อกตัวอย่าง (swatch book) และส่งให้นักออกแบบเลือกใช้โดยตรง หรือเราจะไม่มีออฟฟิศจนกว่าจะจำเป็นจริงๆ อะไรแบบนี้  และที่สำคัญที่สุดคือเราจะไม่เป็นเจ้าของเครื่องจักรหนัก เพราะเรารู้ว่าโลกยุคนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วและเราไม่มีทุนพอที่จะอัพเดทเครื่องจักรใหญ่กันได้บ่อยๆ”

อาศัยที่เราอยู่ในวงการกันมานาน การพีอาร์ก็คือการใช้โซเชียลมีเดียส่วนตัวนี่ล่ะ ซึ่งปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากกลุ่มอินทีเรียร์ดีไซเนอร์อย่างดี เรียกได้ว่าช่วงต้นปีทำ R&D ปลายปีก็ผลิตล็อตใหญ่ส่งลูกค้าเลย ธุรกิจนี้จึงปันผลได้ตั้งแต่ปีแรก

นวัตกรรมสร้างสรรค์ = ผลิตภัณฑ์ต้องขายตัวเอง

ด้วยว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีใครเหมือนและดันเป็นที่ต้องการของตลาด ทำให้ Ausara Surface ใช้งบประมาณด้านการส่งเสริมการขายที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับสินค้าคู่แข่งประเภทอื่น “สี่ปีที่ผ่านมาเรายังไม่เคยจ่ายเงินทำการตลาดแบบจริงจังเลย สื่อที่เราได้ลงเกิดจากการที่เขามาขอสัมภาษณ์เอง ทั้งสื่อในประเทศและต่างประเทศ เรียกว่าเป็น earned media ทั้งหมด”

เราเห็นแล้วว่าโปรดักท์สามารถเป็นหัวใจของการตลาดได้ เราจึงทยอยออกแบบคอลเล็กชั่นที่สองที่สามตามมาโดยเร็ว เพราะรู้แล้วว่าเรามาถูกทาง นั่นคือการทำสิ่งที่ไม่เหมือนใครในโลกและเป็นสิ่งที่คนต้องการ”

ในการทำคอลเล็กชั่นต่อๆ มา ทั้งสองก็ยังเลือกวัสดุจากสัญชาตญาณ (Intuition) กันเป็นหลัก แต่คำว่าสัญชาตญาณนี้ไม่ได้มาจากความรู้สึกล้วนๆ มันถูกอธิบายว่าเป็นกลไกการประมวลเหตุผลของสมองในเวลาอันรวดเร็วจนแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเองในที่สุด “พวกเราสนใจแนวคิดการนำกลับมาใช้ใหม่ (recycle) เพราะสสารทุกชนิดในโลกจริงๆ ก็คือธาตุ ฉะนั้นมันน่าจะนำกลับมาใช้ได้หมด เราไปเจอเข็มขัดนิรภัยที่ขายทิ้งถูกๆ จากการผลิตผิดสเป็ค ก็เลยไปลองเหมามาทำผลิตภัณฑ์ตัวอย่างและส่งไปร่วมแสดงในนิทรรศการ ‘Pure Gold เปลี่ยนขยะเป็นทอง’ ของ TCDC  ไม่นานก็มีลูกค้าติดต่อเข้ามามากมาย ทั้งโรงแรมในเครือ Shangri-La เครือ Rosewood เครือ Aman ฯลฯ  ส่วนก้าวต่อๆ ไปในอนาคตเราวางแนวทางกันแล้วว่า Ausara Surface จะออกแบบและผลิตโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วยเสมอ คือสวยอย่างเดียวไม่พอแล้ว แต่ต้องเป็นการนำกลับมาใช้ใหม่ด้วย”

“ในฐานะนักออกแบบวัสดุ เราสามารถเล่นแร่แปรธาตุของต่างๆ ได้หมด ทำให้คนไม่รู้เลยก็ได้ว่าสิ่งนี้เคยเป็นขยะมาก่อน นี่คือความเป็นนวัตกรรมที่ไม่มีคู่แข่งนะ คุณสามารถตั้งราคาในระดับที่ลูกค้าจ่ายได้โดยไม่ต้องตัดราคากับใคร”
แยกส่วนผลิต ป้องกันการเลียนแบบ และตั้งราคาให้เมคเซ้นส์

เมื่อผลิตภัณฑ์ใหม่ใดก็ตามได้รับความนิยมสูงในท้องตลาด ย่อมจะต้องประสบปัญหาสุดคลาสสิก นั่นก็คือการลอกเลียนแบบ  ปัญหาข้อนี้ Ausara Surface สร้างเกราะป้องกันตัวด้วยกลยุทธ์การแยกส่วนผลิต “คือการที่เราไม่ลงทุนเครื่องจักรใหญ่ทำให้เราต้องจ้างซัพพลายเออร์ในการผลิตแทน แต่เราจะใช้วิธีแยกการผลิตออกเป็นส่วนๆ เพื่อป้องกันการเลียนแบบ เช่นโรงงานหนึ่งผลิตวัสดุ อีกโรงงานหนึ่งนำไปทอ ส่วนงานฟินิชชิ่งกับงานติดตั้งเราทำเอง อย่างนี้เป็นต้น”

ในแง่กลยุทธ์การวางตำแหน่งราคาสินค้า Ausara Surface จะดูว่าเดิมสินค้าในกลุ่มนี้ขายกันราคาประมาณไหน และลูกค้ายอมจ่ายกันที่เท่าไร จากนั้นจึงค่อยบวกมูลค่าความเป็นนวัตกรรมเข้าไปอีกนิด ทำให้วางราคาขายได้สูงกว่าเจ้าอื่นเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในระดับที่ลูกค้าจ่ายได้ “ลูกค้าที่ต่างกันก็ต้องใช้วิธีการขายที่ต่างกันไป เช่นตลาดในประเทศคุณขายตรงกับนักออกแบบเอง ส่วนตลาดต่างประเทศขายผ่านตัวแทนแบบเอ็กซคลูซีฟ คือใช้ตัวแทนขายในเมืองใหญ่จำนวนแค่หยิบมือ แต่ต้องเลือกรายที่เขาเข้าใจโปรดักท์เราจริงๆ และมีคอนเน็กชั่นในมือครบ ท้ายสุดไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไรก็ต้องมองให้รอบก่อน ดูให้ชัดว่าคุณควรจะจ่ายเงินกับสิ่งไหน หรือไม่จ่ายเงินกับสิ่งไหนบ้าง”

…อาจจะฟังดูเป็นวิธีคิดที่แสนธรรมดา แต่ท้ายที่สุดแล้วอย่าลืมว่าการตลาดก็คือเรื่องของ common sense ง่ายๆ นี่แหละขึ้นอยู่ที่ sense ของคุณกับ sense ของผู้บริโภคจะจูนกันติดได้หรือไม่…ก็เท่านั้น”

ภาพประกอบ: Ausara Surface

CREATIVE JUICE

  • สัญชาตญาณในการทำธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญ แต่มันจะเกิดจากการประมวลผลประสบการณ์ที่คุณสั่งสมมาโดยอัตโนมัติ
  • การทำสิ่งที่ไม่เหมือนใครมีหลายวิธี หนึ่งในนั้นคือการพลิกแพลงสิ่งที่มีอยู่แล้วเพื่อหาช่องว่างใหม่ในตลาด เช่น การเปลี่ยนเทคนิคทอผ้าจากแนวนอนมาเป็นแนวตั้ง เปลี่ยนเส้นใยผ้ามาเป็นเส้นใยโลหะ ใช้วัสดุรีไซเคิลทดแทนวัสดุใหม่ ฯลฯ
รูปเพิ่มเติม

ผู้เขียน
ชัชรพล เพ็ญโฉม

ชอบคิด ชอบเขียน ชอบเดินทาง ชอบชิม ชอบดู ชอบฟัง ชอบสิ่งเร้าจิตทั้งปวง

ภาพบรรยากาศ งานสัมมนา MARKETING IN RETAIL “ตีโจทย์การตลาด สู่ขุมพลังค้าปลีกยุคใหม่”

SHARE

เมื่อวันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2561 ทางสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยได้มีการจัดงานสัมมนา Marketing in Retail “ตีโจทย์การตลาด สู่ขุมพลังค้าปลีกยุคใหม่” ณ ห้องแอมเบอร์ 1 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งปีนี้ เป็นครั้งแรกที่ทางสมาคมการตลาดฯได้เป็นหนึ่งในพันธมิตรในการร่วมจัดสัมมนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน RetailEx Asia 2018 เพื่อเพิ่มเติมความรู้ที่สำคัญด้านการตลาดในโลกรีเทลยุคใหม่ เพื่อประโยชน์ของผู้ประกอบการไทยและนักการตลาด โดยเฉพาะการอัพเดตเทคโนโลยี ที่จะช่วยเติมความรู้ใหม่ๆเกี่ยวกับโลกรีเทลยุคใหม่ จากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายด้าน ทั้งด้านช่องทางการขาย ด้าน payment ด้าน media ด้าน e-commerce และ Marketing Solution รวมถึงศาสตร์ของการสร้างความเข้าใจผู้บริโภค,การสร้างแบรนด์ที่จะนำไปสู่ความแตกต่าง ณ จุดขาย,การใช้ประโยชน์จากข้อมูล big data จำนวนมหาศาลมาเปลี่ยนเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด, และ เรื่องราว case study ที่น่าสนใจของ Omni-Channel การเชื่อมต่อช่องทาง offline to online อย่างไร้รอยต่อ
โดยมี คุณอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวต้อนรับและเปิดงาน

ภายในงานรับฟังการบรรยายจากกูรูผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการตลาดค้าปลีก อาทิ

  1.คุณสรินพร จิวานันต์  Managing Director, Envirosell (Thailand) Co., Ltd
หัวข้อ  “Shopper marketing” รีเทลเทรนด์ พร้อมอินไซต์ ทำอย่างไรให้สามารถจับหัวใจผู้ซื้อ
  2.คุณบังอร สุวรรณมงคล  MD & Founder Hummingbirds Consulting
หัวข้อ “Impact of branding” สร้างแบรนด์อย่างไรให้โดดเด่น ณ จุดขาย อะไรเป็นจุดจับความสนใจผู้บริโภค
3.คุณธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์
Managing Director, Media APAC Dunnhumby (Thailand)
หัวข้อ  “Marketing intelligence : กลยุทธ์การถอดรหัสผู้บริโภคด้วย Big Data”
  4.คุณผรินทร์ สงฆ์ประชา CEO และ Co-Founder บริษัท Nasket Retail
หัวข้อ “Omni-Channel, Future of shopping experience: วิถีใหม่แห่งการช็อปปิ้งไร้รอยต่อ

รูปเพิ่มเติม

ผู้เขียน
MAT TEAM

สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

สมัครรับข่าวสาร

logo